วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ความต่างของเทคโนโลยีกับนวัตกรรม


ได้ฟังบรรยายในหัวข้อการวิจัยในชั้นเรียน โดย รศ.สมพงษ์ บุญเลิศ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ท่านใช้เทคโนโลยีประกอบการบรรยาย ถ้าเป็นเทคโนโลยีเมื่อ 20 ปีก่อนหน้านี้ก็คงต้องใช้แผ่นใส คอยพลิกไปพลิกมาเพื่อใช้สื่อสารระหว่างผู้ฟังและผู้บรรยาย แต่วิทยากรส่วนใหญ่ในปัจจุบันใช้ Microsoft PowerPoint เป็นเครื่องมือในการนำเสนอหัวข้อประกอบการบรรยายแล้ว ปัจจุบันครูอาจารย์ในสถานศึกษาทุกระดับตื่นตัวกับการใช้เครื่องมือที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI = Computer Assisted Instruction) เพื่อใช้เสริมการเรียนการสอนในชั้นเรียนให้มีประสิทธิผล ถ้าใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอนเมื่อ 20 ปีก่อน เราก็จะเรียกสิ่งนั้นว่านวัตกรรม แต่ปัจจุบันเรียกว่าเทคโนโลยี แล้ววิทยากรก็ปรารภว่าสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง อายุมากขึ้นมองอะไรก็ไม่เหมือนสมัยเป็นหนุ่ม ถ้าผู้ที่ยังเป็นหนุ่มก็ควรรีบใช้สังขารให้เต็มที่ เพราะถ้าปล่อยให้เนิ่นนานไปสังขารอาจไม่รองรับกับสิ่งที่ต้องการทำและยังไม่ได้ทำอีกมากมาย

ความแตกต่างของเทคโนโลยีกับนวัตกรรมมีอยู่ 2 ประเด็นสำคัญ คือ เวลา และสถานที่ หากสิ่งใดที่ถูกใช้ในสถานที่หนึ่งเป็นเวลานานและเกิดการยอมรับอย่างแพร่หลาย มักเรียกสิ่งนั้นว่าเทคโนโลยี เพราะใช้ประโยชน์ในที่นั้นเป็นระยะเวลาหนึ่งจนทุกคนในกลุ่มรู้สึกคุ้นเคย แต่ถ้านำสิ่งนั้นไปใช้ในพื้นที่ใหม่เป็นครั้งแรกเกิดการเรียนรู้ใหม่ มีการตื่นตัวภายในกลุ่ม และเริ่มยอมรับเพิ่มขึ้นเป็นลำดับก็จะเรียกสิ่งเหล่านั้นว่านวัตกรรม

วิทยากรได้ยกตัวอย่างเรื่องการใช้แฮ้วซึ่งเป็นเครื่องทุ่นแรงสำหรับตักน้ำขึ้นจากบ่อน้ำในภาคเหนือว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีใช้มานาน แต่เมื่อนำไปใช้ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือครั้งแรกก็จะเรียกว่านวัตกรรม จนมีการยอมรับและแพร่หลายเป็นระยะเวลาหนึ่งก็จะเรียกว่าเทคโนโลยี หากจะเรียกการใช้ Microsoft PowerPoint เป็นนวัตกรรมในยุคแรกที่เครื่องคอมพิวเตอร์ได้รับความนิยมก็ย่อมได้ เพราะอาจารย์ในอดีตที่ใช้แผ่นใสเป็นเทคโนโลยีประกอบการสอน เมื่อมีการเปลี่ยนเครื่องมือสำหรับช่วยสื่อสารในชั้นเรียนก็จะเรียกว่ามีนวัตกรรมใหม่ โปรแกรมในชุดของ Microsoft Office มีกำเนิดตั้งแต่ปีพ.ศ.2532 ถูกใช้มาแล้วกว่า 20 ปี โปรแกรมนี้แพร่หลายไปทุกระดับ และทุกสายงาน จึงสมควรเรียกว่าเทคโนโลยี แต่ถ้าครูอาจารย์ใช้ e-Learning หรือ CAI ในวันนี้ก็จะเรียกว่านวัตกรรม เพราะเป็นเรื่องใหม่ อยู่ระหว่างพัฒนา และยังมีการถกเถียงถึงผลข้างเคียงของการใช้สื่อเหล่านี้ในหลายเวที


เครดิตข้อมุล : http://www.thaiall.com/itinlife/

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ระบบปฏิบัติการวินโดว์เจ็ด



เครื่องคอมพิวเตอร์คือการรวมกันของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานสอดรับกันเป็นระบบ ประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญ คือส่วนนำข้อมูลเข้า ส่วนประมวลผล และส่วนแสดงผล ทั้งหมดถูกเรียกว่าฮาร์ดแวร์ (Hardware) ทำงานด้วยพลังงานไฟฟ้า อุปกรณ์ทั้งหมดถูกควบคุมด้วยซอฟท์แวร์ (Software) เพื่อสั่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แต่ละส่วนให้ทำงานร่วม ซอฟท์แวร์ที่สำคัญคือระบบปฏิบัติการหรือโอเอส (OS = Operating System) ในอดีตค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จ่ายให้กับค่าซื้อฮาร์ดแวร์ แต่ปัจจุบันค่าใช้จ่ายด้านซอฟท์แวร์สูงกว่าฮาร์ดแวร์ บางองค์กรซื้อฮาร์ดแวร์มาครั้งเดียวแต่ต้องจ่ายค่าเปลี่ยนซอฟท์แวร์หลายครั้ง และต้องจ้างพีเพิลแวร์ที่มีประสบการณ์มาดูแลซอฟท์แวร์

ระบบปฏิบัติการเป็นซอฟท์แวร์พื้นฐานของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากร ควบคุมอุปกรณ์ อำนวยความสะดวกแก่ผู้พัฒนาโปรแกรม และการติดต่อกับผู้ใช้ สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือพีซี (PC = Personal Computer) ที่เราใช้ทุกวันนี้เริ่มเป็นที่นิยมเมื่อบริษัทไอบีเอ็มพัฒนาฮาร์ดแวร์แล้วมอบงานพัฒนาโอเอสให้บริษัทไมโครซอฟท์ และเป็นการเริ่มต้นของการพัฒนาระบบซอฟท์แวร์อย่างที่เห็นในทุกวันนี้ ระบบปฏิบัติการวินโดว์เคยครองส่วนแบ่งตลาดผู้ใช้พีซีมากถึง 96% ทิ้งคู่แข่งอย่างลีนุกซ์และแอปเปิ้ลไกลมาก ตำนานของวินโดว์เริ่มต้นในพ.ศ.2526 มีการออกผลิตภัณฑ์มาอย่างต่อเนื่อง และไม่มีแนวโน้มที่จะหยุดพัฒนา

ตำนานของวินโดว์วิสต้าเปิดตัวพ.ศ.2548 แต่ออกมาได้ไม่นานก็มีเสียงวิพากษ์ว่าผู้ใช้ส่วนหนึ่งไม่ประทับใจประสิทธิภาพในการจัดการฮาร์ดแวร์ ต่อมาไมโครซอฟท์ได้ประกาศการพัฒนาวินโดว์เจ็ดในพ.ศ.2550 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอายุของวินโดว์วิสต้าไม่ยาวนัก ถ้ามองในมุมของการพัฒนาก็จะเป็นโอกาสของชาวลำปางที่จะได้ใช้ระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม แต่ในมุมของผู้ใช้ก็อาจเป็นภัยคุกคามที่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อซอฟท์แวร์อีกแล้ว แต่ความจำเป็นต้องซื้อรุ่นใหม่ก็ขึ้นกับวิจารณญาณของแต่ละบุคคล เพราะผู้เขียนเชื่อว่าถ้าใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อพิมพ์งานเอกสารหรือรายงานการประชุมจะใช้เพียงวินโดว์ 98 ก็ยังใช้งานได้ดีอยู่ แต่ถ้าจะใช้พัฒนาระบบงานด้วยวิชวลเบสิกดอทเน็ตหรือมีข้อมูลมหาศาลต้องถูกประมวลผลแต่ละวันก็เข้าใจว่าต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีให้ทันเพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร



เครดิตข้อมูล : http://gotoknow.org/thaiall

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การเลือก Netbook หรือ Notebook



พบการโฆษณาสินค้าหรือบริการที่มอบรางวัลที่ 1 เป็น netbook ผู้เขียนจึงเข้าไปสืบค้นข้อมูลจนพบว่า netbook คือเครื่องคอมพิวเตอร์แบบใหม่ที่พัฒนาด้วยการลดระดับจาก notebook ในเรื่องของน้ำหนักที่เบากว่า ขนาดเล็กและบาง ความเร็วต่ำกว่า จำนวนปุ่มบนแป้นพิมพ์น้อยกว่า ประสิทธิภาพต่ำกว่า จอภาพแสดงผลเล็กกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์เหมาะกับการพกพาได้ง่าย กลุ่มลูกค้ามักเป็นเด็กนักเรียนที่ต้องการนำไปใช้ประกอบการเรียนการสอนในห้องเรียน จุดเด่นคือมีราคาและน้ำหนักต่ำกว่า notebook เกือบครึ่งหนึ่ง รุ่นของหน่วยประมวลผลที่นำไปใช้กับ netbook มักมีคำว่า Atom หรือ Conesus

รูปร่างหน้าตาของ netbook คล้าย notebook ถ้าผู้ซื้อไม่สอบถามในรายละเอียดก็จะไม่เข้าใจถึงข้อจำกัด เนื่องจาก netbook ยังเป็นสินค้าที่ใหม่ในตลาด ดังนั้นอุปกรณ์ต่อพ่วงและซอฟท์แวร์ยังมีสนับสนุนไม่ดีนัก ถ้านำไปใช้งานตามปกติด้วยซอฟท์แวร์ที่มีมากับตัวเครื่องก็สามารถใช้งานได้ระดับหนึ่ง เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เปิดอินเทอร์เน็ต แต่ถ้าคิดจะดูภาพยนตร์ความละเอียดสูง หรือใช้งานซอฟท์แวร์มัลติมีเดียที่ซับซ้อนก็อาจรองรับได้ไม่ดีนัก

การซื้อสินค้าราคากว่าหนึ่งหมื่นบาทก็ต้องใช้วิจารณญาณและหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่ตั้งอยู่บนความพอเพียง เช่น คุณแม่จะซื้อคอมพิวเตอร์ไว้สอนภาษาอังกฤษลูกก็อาจซื้อ netbook ได้ หรือพนักงานขายจะใช้นำเสนอข้อมูลสินค้าต่อลูกค้าก็มีความเหมาะสม แต่ถ้านักศึกษามหาวิทยาลัยต้องการนำไปพัฒนาระบบฐานข้อมูลบนเครือข่าย สร้างภาพยนต์แอนิเมชัน ทดสอบโปรแกรมประมวลผลที่ซับซ้อน เปิดโปรแกรมพร้อมกันหลายโปรแกรมแบบมัลติทาสกิ้ง และใช้อุปกรณ์ต่อพ่วงอยู่เสมอก็คงต้องหาซื้อ notebook การซื้อสินค้าที่ได้มาตรฐานในรุ่นมาตรฐานน่าจะดีกว่าการซื้อสินค้ากลุ่มลดขนาด หรือกลุ่มตกรุ่น หรือกลุ่มออกใหม่ล่าสุด แต่ทุกคนย่อมมีเหตุผล เพราะปัจจัยเรื่องน้ำหนักและราคาอาจอยู่เหนือปัจจัยอื่นในการเลือกซื้อสินค้า

เครดิตข้อมูล : www.thaiall.com/itinlife/

วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

บทความสอนใจ สิ่งเดียวที่สำเร็จคือความล้มเหลว


1.ไม่รู้จักตนเอง

O เพราะไม่รักตัวเอง จึงไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง
O เพราะไม่รู้ศักยภาพของตัวเอง จึงไม่มีจุดยืนของตัวเอง

2.ไม่เข้าใจคนอื่น

O เพราะ ไม่เปิดใจ จึงไม่เข้าใจความแตกต่าง
O เพราะไม่เอาใจเขามาใส่ใจเรา จึงไม่ได้เอาคนอื่นมาเป็นคติสอนใจ

3.ไม่มีเป้าหมาย

O เพราะขาดความเชื่อศรัทธา จึงขาดแรงผลักดัน
O เพราะไม่มีแรงบันดาลใจ จึงขาดแรงจูงใจ
O เพราะยังไม่เจอปัญหา จึงขาดไฟ
O เพราะยังไม่มีModel จึงขาดVistion
O เพราะไม่มีจินตนาการ จึงขาดความรู้
O เพราะไม่มีสติ จึงขาดปัญญา

4.ยังไม่ได้ลงมือทำ

O เพราะเพิกเฉย จึงพลัดวันประกันพรุ่ง
O เพราะกลัว จึงไม่กล้าตัดสินใจ
O เพราะรอ จึงยังไม่พร้อม
O เพราะขี้เกียจ จึงงานเยอะ
O เพราะยังไม่อยากทำ จึงไม่บริหารเวลา
O เพราะไม่ยอมเปลี่ยน จึงไม่ลงมือทำ

5.ยังไม่ได้ประเมินผล

O เพราะยังไม่ได้ใส่ใจ เลยไม่รู้ปัญหา
O เพราะยังไม่ได้ทบทวน เลยไม่ได้ใคร่ครวญให้ดี
O เพราะมัวแต่เพ่งโทษตนเอง เลยยึดติด
O เพราะไม่มีทางออก ก็เลยต้องออกนอกเส้นทางบ่อยๆ
O เพราะไม่ได้แก้ไข จึงไม่ได้ปรับปรับปรุง
O เพราะสักแต่ว่าทำ เลยไม่ทำให้ดีกว่าเดิม
O เพราะเผลอ จึงประมาท

6.ยังไม่มีคนคอยชี้ทาง

O ไม่มีครู ไม่มีเพื่อนร่วมทาง ไม่มีคนเกื้อหนุน ไม่มีคนช่วยเหลือ

7.คุณรู้แก่ใจ….(ปลายทาง)

…. อย่าลืมนะคับ ไม่มีใครที่ประสบความสำเร็จ ที่มัวแต่นั่งคิด โดยไม่ลงมือทำ ^-^


เครดิตข้อมูล : http://sakid.com/2010/09/24/26105/

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

เครือข่ายสังคมกับการใช้ในทางธุรกิจ



เครือข่ายสังคม (Social Network) คือ บริการของเว็บไซต์ที่เปิดพื้นที่ให้ผู้คนได้เข้าไปพบปะ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น แบ่งปันประสบการณ์ เกิดการสื่อสารในเรื่องราวที่สนใจร่วมกัน ซึ่งเว็บบล็อก (Weblog หรือ Blog) เป็นเครื่องมือหนึ่งที่สนับสนุนให้เขียนบันทึกเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ของตนได้ง่าย ปัจจุบันเว็บบล็อกเป็นเครื่องมือหลักของเครือข่ายสังคมจนทำให้เกิดการสื่อสารและแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม แต่ละคนสามารถเข้าเป็นสมาชิกได้หลายกลุ่ม สร้างกลุ่มของตนเองได้ เกิดกลุ่มเล็กบ้างใหญ่บ้าง เปิดรับเฉพาะสมาชิก หรือเปิดให้เข้าได้ทุกคน เช่น กลุ่มของชุมชนบ้านไหล่หิน กลุ่มโรงเรียนบุญวาทย์ กลุ่มนักศึกษาโยนก กลุ่มบริษัทลิสซิ่ง กลุ่มศิษย์เก่าอัสสัมชัญลำปาง หรือกลุ่มธรรมะชนะกิเลส เป็นต้น

ประโยชน์สำหรับกลุ่มคนที่สมาชิกส่วนใหญ่มีเมตตากรุณาเป็นที่ตั้ง มองเห็นผลประโยชน์ร่วมกัน ย่อมส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทำให้ใช้ประโยชน์จากการจัดการความรู้บนฐานความเชื่อที่ว่าทุกคนมีจิตใจที่ดีงามพร้อมจะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ที่ฝังลึกในตนเอง (Tacit Knowledge) ให้ผู้อื่นได้นำไปใช้ประโยชน์ อาทิ การรวมกลุ่มของร้านบริการอินเทอร์เน็ตก็จะแลกเปลี่ยนเรื่องข้อมูลซอฟท์แวร์ ราคาซอฟท์แวร์ การคุกคามของมิจฉาชีพ หรือการรับมือกับลูกค้าไม่พึงประสงค์ นำไปสู่การป้องปรามปัญหาที่อาจเกิดขึ้น การรวมกลุ่มของโรงแรมก็เพื่อประโยชน์ในการผ่องถ่ายลูกค้า แก้ปัญหาโรงแรมเต็มเมื่อมีอบรมสัมมนาขนาดใหญ่ แลกเปลี่ยนทรัพยากร การรวมกลุ่มของแหล่งท่องเที่ยวทำให้มีการสร้างเส้นทางท่องเที่ยวรองรับ และให้ข้อมูลนักท่องเที่ยวตลอดเส้นทางแต่ละเส้น เกิดการจัดการทรัพยากร และข้อมูลร่วมกัน

ประโยชน์ที่ได้จากเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีมากมาย เช่น กลุ่มทำงานที่บ้าน (Work at home) ใช้เว็บบอร์ดนำเสนอสินค้าและโอกาส ทุกคนจึงมีโอกาสทำงานอิสระเป็นอาชีพเสริมอยู่ที่บ้าน หรือสมัครเป็นสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าราคาต่ำกว่าราคาขาย การเขียนสิ่งที่รู้จากประสบการณ์ การเพิ่มบันทึกหรือเนื้อหาเข้าไปในอินเทอร์เน็ต ทำให้สมาชิกหรือเยาวชนสืบค้นข้อมูล เพื่อนำไปประยุกต์และแก้ปัญหาของตนได้ง่าย โบราณว่าการให้ความรู้เป็นทานเป็นกุศลที่แรงมาก ซึ่งการทำบุญด้วยการให้ความรู้ง่ายกว่าการไปทำบุญที่วัด ถ้าทำบุญด้วยจตุปัจจัยเป็นทานเพื่อทำนุบำรุงศาสนาแล้ว การทำบุญด้วยการให้ความรู้ก็เป็นการเพิ่มกุศลที่สามารถทำได้นอกวัด เพราะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ชาวพุทธส่วนใหญ่ถูกอบรมสั่งสอนให้เป็นคนดีมีน้ำใจมาแต่เล็กแต่น้อย นี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่คนไทยนิยมใช้งาน hi5.com อยู่ในอันดับต้นของโลกก็เป็นได้


เครดิตข้อมูล : http://www.thaiall.com/itinlife/

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

ระวังจุลินทรีย์เชื้อก่อโรคในแหนม


"แหนม" เป็นอาหารพื้นเมืองที่เกิดขึ้นจากภูมิปัญญาชาวบ้านโดยแท้ ต้นกำเนิดของแหนมเกิดจากการดัดแปลงเนื้อหมู ที่เป็นวัตถุดิบที่เหลือจากการบริโภค แล้วนำมาผสมนั่นนิดนี่หน่อย จนกลายมาเป็นแหนมที่ทุกคนรู้จักและชอบรับประทาน

และจากภูมิปัญญาของชาวบ้าน ปัจจุบันได้ถูกดัดแปลงให้เข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบ มีกรรมวิธีการผลิตที่มีคุณภาพ เริ่มจากการคัดเลือกเนื้อหมูสด ที่ผ่านการตรวจสอบตั้งแต่โรงฆ่าสัตว์ไม่มีโรค

จากนั้นเข้าสู่กระบวนการลอกเนื้อเยื่อและเอา ไขมันที่ไม่ต้องการออก แล้วนำมาบดผสมกับส่วนประกอบต่างๆ เช่น เกลือ ดินประสิว ข้าวเจ้าสุก และเครื่องเทศ

หลังจากผสมแล้วจึงนำมาบรรจุลงในภาชนะบรรจุที่มีอยู่หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นถุงพลาสติกรูปทรงกระบอก ถุงพลาสติกลักษณะเป็นตุ้ม หรือบรรจุในพลาสติกธรรมดาแล้วหุ้มด้วยใบตอง ทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องปกติเพื่อให้เกิดการหมัก ประมาณ 3-5 วัน ก็นำมารับประทานได้



อย่างไรก็ตาม คงต้องระวัง! ในเรื่องของจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคที่อาจปนเปื้อนเข้ามาในแหนมได้

จุลินทรีย์ชนิดที่พบมาก เห็นจะเป็นเชื้ออี.โคไล มักปนเปื้อนจากการประกอบอาหารด้วยการใช้มือสัมผัส ถ้าคนปรุงและคลุกเคล้าส่วนผสมของแหนม มีสุขลักษณะที่ไม่ดีเพียงพอ ไม่ล้างมือก่อนทำ และภาชนะที่ใช้สัมผัสแหนมระหว่างการผลิตไม่สะอาดพอ อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอาการท้องเสียได้...



นอกจากนี้ยังมีเชื้อซาลโมเนลลาอีกชนิด ที่อาจปนเปื้อนมาอันตรายของเชื้อชนิดนี้คือเมื่อผู้บริโภครับเชื้อเข้าไปแล้วจะทำให้เกิด อาหารเป็นพิษ หลังจากร่างกายได้รับเชื้อนี้เข้าไปเป็นเวลาประมาณ 6-24 ชั่วโมง

คอลัมน์ "มันมากับอาหาร" จึงได้ทำการวิเคราะห์เชื้อก่อโรคทั้ง 2 ชนิด ในแหนม 5 ยี่ห้อ ผลวิเคราะห์แสดงดังตารางข้างล่าง

ใครที่ชอบทานแหนมต้องเลือกดูสินค้าด้วย เช่น ห่อบรรจุมีรอยฉีกขาดไม่ควรซื้อ หรือถ้าอยากทานจริงๆ ก็เอามา ผ่านความร้อนในระดับจุดเดือดก่อน เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

ญี่ปุ่นพัฒนาหุ่นยนต์ "ตั๊กแตน" ยักษ์!!!



Air Hopper เป็นหุ่นยนต์เลียนแบบการเคลื่อนที่ของตั๊กแตน แม้หน้าตาของมันจะดูไม่เหมือนสักเท่าไรก็ตาม Air Hopper จะมีสี่ขาที่แข็งแรงมาก สามารถดีดตัวเองให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า หรือกระโดดสูงในแนวดิ่งได้ เท้าทั้งสี่ของมันยังติดล้ออีกด้วย นั่นหมายความว่า เวลาที่มันกระโดดไปข้างหน้า เมื่อลงถึงพื้นแรงเฉื่อยที่อยู่ในตัวจะพาให้มันเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยล้อได้อีก (กรณีพื้นเรียบ) คุณสมบัติของหุ่นยนต์ตั๊กแตนก็คือ มันสามารถกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง (เพื่อสอดแนม หรือช่วยเหลือคนที่อยู่ด้านหลังกำแพงกั้นในสงคราม หรือกรณีเกิดภัยพิบัติต่างๆ ก็ได้) แทนการปีนไต่ ความลับของกลไกการทำงานก็คือ ท่อลมแรงดันสูงสีน้ำเงินที่จะดันขาสีดำให้กดพิื้น เพื่อดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในการทดลองการทำงานของหุ่นยนต์พบว่า Air Hopper สามารถกระโดดไปข้างหน้าได้ไกล 70 ซม. ที่ระดับความสูงจากพื้น 40 ซม. ตัวหุ่นยนต์ทำจากพลาสติก โดยลำตัวมีความยาว 1.29 เมตร สูง 52.2 ซม. และหนัก 32.4 กก. โห...หนักขนาดนี้ กำลังขาของหุ่นยนต์ต้องดีมากๆ ทีเดียวนะเนี่ย.


เครดิตข้อมูล : http://www.sudipan.net/phpBB2/viewtopic.php?t=24763&sid=37f7f8e70c9310bd76c67ce0c34fd7c9

เปรียบเทียบ บราวเซอร์ชนิดต่างๆ


พอดีอ่านไปเจอ บทความดีๆ ของฝรั่งมาอะครับเรื่องบราวเซอร์ต่างๆ ผมเลยจะเอามาเล่าให้ฟังไว้เป็นเกร็ดความรู้นะครับ
ตอนนี้ต้องยอมรับเลยว่า บราวเซอร์ซึ่งคนใช้มากที่สุดในโลก รวมทั้งในประเทศไทย สามอันดับแรกคงไม่พัน IE Firefox และ Chrome
วันนี้ผมเลยจะมาเ้ปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของอินเตอร์เน็ตบราวเซอร์ชนิดต่างๆให้อ่านกันนะครับ
Internet Explorer
ข้อดี

เป็นบราวเซอร์ที่คนใข้งานมากที่สุดในโลก เพราะฉะนั้นแน่ใจได้เลยว่าได้รับการรองรับจากทุกเว็บไซต์
เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น สามารถหาทางแก้ไขได้ง่าย เนื่องจากมีคนใช้จำนวนมาก มีคนถามปัญหาก่อนเราแล้ว
ให้ความเป็นส่วนตัวสูงสุดเนื่องจาก ไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้เลย
ปลอดภัย

ข้อเสีย

ช้าที่สุด เมื่อเทียบกับบราวเซอร์อีกสองตัวที่เหลือ
ใช้หน่วยความจำคอมพิวเตอร์มากที่สุด ซึ่งอาจทำให้เครื่องช้าไปด้วย

Firefox
ข้อดี

เร็วที่สุด
เต็มไปด้วยอุปกรณ์เสริมหรือ add-ons

ข้อเสีย

google สนับสนุนน้อยลงเนื่องจาก หันไปช่วย chrome ของตัวเอง
ผู้ใช้ทั่วโลกยังน้อยถ้าเทียบกับ IE
บางเว็บไซต์ที่ทำด้วย IE อาจแสดงผลไม่สวยกับ Firefox

Chrome
ข้อดี

พื้นที่หน้าจอใหญ่ที่สุด และใช้เนื้อที่คุ้มค่าที่สุด
เร็วกว่า IE
มีแถบสำหรับการเสิชที่รวดเร็ว

ข้อเสีย

ไม่มีความเป็นส่วนตัว เนื่องจาก chrome บันทึกข้อมูลผู้ใช้ตลอดเวลา
เนื่องจากเป็นบราวเซอร์หน้าใหม่ ความปลอดภัยจึงอาจไม่ดีพอ
บางเว็บไซต์ยังไม่สามารถใช้ได้กับ chrome
ยังไม่มีอุปกรณ์เสริม (extensions, add-ons)

หวังว่าผู้อ่านคงได้ความรู้กับ บทความดีๆ บทนี้ไม่มากก็น้อยนะครับ


เครดิตข้อมูล : http://www.blog.bunterng.com/

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

เทคโนโลยี 3G



เทคโนโลยี 3G คืออะไร
3G หรือ Third Generation เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 อุปกรณ์การสื่อสารยุคที่ 3 นั้นจะเป็นอุปกรณ์ที่ผสมผสาน การนำเสนอข้อมูล และ เทคโนโลยีในปัจจุบันเข้าด้วยกัน เช่น PDA โทรศัพท์มือถือ Walkman, กล้องถ่ายรูป และ อินเทอร์เน็ต 3G เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องจากยุคที่ 2 และ 2.5 ซึ่งเป็นยุคที่มีการให้บริการระบบเสียง และ การส่งข้อมูลในขั้นต้น ทั้งยังมีข้อจำกัดอยู่มาก การพัฒนาของ 3G ทำให้เกิดการใช้บริการมัลติมีเดีย และ ส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วยอัตราความเร็วที่สูงขึ้น

จุดเริ่มต้นของเทคโนโลยี 3G
มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 (Third Generation Mobile Network หรือ 3G) เป็นเทคโนโลยียุคถัดมาจากการเปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 2 หรือ 2G ซึ่งประสบความสำเร็จในการสร้างมูลค่าทางธุรกิจสื่อสารไร้สายอย่างมหาศาลนับตั้งแต่ พ.ศ. 2537 เป็นต้นมา ในยุคของโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G มีมาตรฐานที่สำคัญที่มีการนิยมใช้งานทั่วโลกอยู่ 2 มาตรฐาน กล่าวคือมาตรฐาน GSM (Global System for Mobile Communication) อันเป็นมาตรฐานของกลุ่มสหภาพยุโรป ปัจจุบันมีส่วนแบ่งทางการตลาดทั่วโลกสูงที่สุด และมาตรฐาน CDMA (Code Division Multiple Access) อันเป็นมาตรฐานจากสหรัฐอเมริกา มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับที่สอง

จุดมุ่งหมายของการพัฒนามาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G ขึ้น ก็เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานระบบสื่อสารไร้สายส่วนบุคคล (Personal Communication) ในลักษณะไร้พรมแดน (Global Communication) โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้บริการสามารถนำเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปใช้งานในที่ใด ๆ ก็ได้ทั่วโลกที่มีการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังกล่าว และยังเป็นยุคของการนำมาตรฐานสื่อสารแบบดิจิตอลสมบูรณ์แบบมาใช้รักษาความปลอดภัย และเสริมประสิทธิภาพในการสื่อสารหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบริการส่งข้อความแบบสั้น (Short Message Service หรือ SMS) และการเริ่มต้นของยุคสื่อสารข้อมูลผ่านเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นครั้งแรก โดยมาตรฐาน GSM และ CDMA ตอบสนองความต้องการสื่อสารข้อมูลด้วยอัตราเร็วสูงสุด 9,600 บิตต่อวินาที ซึ่งถือว่าเพียงพอเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราเร็วของการสื่อสาร ผ่านโมเด็มในเครือข่ายโทรศัพท์พื้นฐานเมื่อกว่าสิบปีก่อน

ลักษณะการทำงานของ 3G เมื่อเปรียบเทียบเทคโนโลยี 2G กับ 3G แล้ว 3G มีช่องสัญญาณความถี่ และ ความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่า ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลแอพพลิเคชั่น รวมทั้งบริการระบบเสียงดีขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการมัลติมีเดียได้เต็มที่ และ สมบูรณ์แบบขึ้น เช่น บริการส่งแฟกซ์, โทรศัพท์ต่างประเทศ ,รับ-ส่งข้อความที่มีขนาดใหญ่ ,ประชุมทางไกลผ่านหน้าจออุปกรณ์สื่อสาร, ดาวน์โหลดเพลง, ชมภาพยนตร์แบบสั้นๆ

เทคโนโลยี 3G น่าสนใจอย่างไร จากการที่ 3G สามารถรับส่งข้อมูลในความเร็วสูง ทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปได้ อย่างรวดเร็ว และ มีรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น ประกอบกับอุปกรณ์สื่อสารไร้สายในระบบ 3G สามารถให้บริการระบบเสียง และ แอพพลิเคชั่นรูปแบบใหม่ เช่น จอแสดงภาพสี, เครื่องเล่น mp3, เครื่องเล่นวีดีโอ การดาวน์โหลดเกม, แสดงกราฟฟิก และ การแสดงแผนที่ตั้งต่างๆ ทำให้การสื่อสารเป็นแบบอินเตอร์แอคทีฟ ที่สร้างความสนุกสนาน และ สมจริงมากขึ้น 3G ช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายและคล่องตัวขึ้น โดย โทรศัพท์เคลื่อนที่เปรียบเสมือน คอมพิวเตอร์แบบพกพา, วิทยุส่วนตัว และแม้แต่กล้องถ่ายรูป ผู้ใช้สามารถเช็คข้อมูลใน account ส่วนตัว เพื่อใช้บริการต่างๆ ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น self-care (ตรวจสอบค่าใช้บริการ), แก้ไขข้อมูลส่วนตัว และ ใช้บริการข้อมูลต่างๆ เช่น ข่าวเกาะติดสถานการณ์, ข่าวบันเทิง, ข้อมูลด้านการเงิน, ข้อมูลการท่องเที่ยว และ ตารางนัดหมายส่วนตัว

คุณสมบัติหลักของ 3G คือ มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดเครื่องโทรศัพท์ (always on) นั่นคือไม่จำเป็นต้องต่อโทรศัพท์เข้าเครือข่าย และ log-in ทุกครั้งเพื่อใช้บริการรับส่งข้อมูล ซึ่งการเสียค่าบริการแบบนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูลผ่านเครือข่ายเท่านั้น โดยจะต่างจากระบบทั่วไป ที่จะเสียค่าบริการตั้งแต่เราล็อกอินเข้าในระบบเครือข่าย

อุปกรณ์สื่อสารไร้สายระบบ 3G สำหรับ 3G อุปกรณ์สื่อสารไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่โทรศัพท์เท่านั้น แต่ยังปรากฏในรูปแบบของอุปกรณ์ สื่อสารอื่น เช่น Palmtop, Personal Digital Assistant (PDA), Laptop และ PC


ที่มา : http://www.hoon2000.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=344436

Ricoh CX1 กล้องคอมแพคท์คุณภาพสูงรูปทรงเรียบหรูคลาสสิกประณีตในทุกรายละเอียด



พร้อมเซ็นเซอร์รุ่นใหม่แบบ CMOS และเลนส์ซูมมุมกว้างขนาด 28-200 มม. ประสิทธิภาพสูงครอบคลุมทุกช่วงการใช้งาน

เราทดสอบกล้อง Ricoh รุ่น R10 ไปแล้ว ในคอลัมน์รีวิวฉบับที่ 61 (เดือนมกราคม) ซึ่งยังคงสร้างความประทับใจในเรื่องของความประณีตในการผลิตและการออกแบบรูปทรงคลาสสิกที่มีเอกลักษณ์เรียบหรูดูดีจากวัสดุที่นำมาใช้ในการผลิตตัวกล้อง จอ LCD ความละเอียดสูงขนาด 3 นิ้ว ที่ให้ภาพคมชัดและเลนส์ซูมมุมกว้างคุณภาพสูงกำลังขยาย 7.1x ที่ให้ภาพถ่ายคมชัดสวยงามเป็นธรรมชาติ

กล้อง Ricoh CX1 เป็นกล้องรุ่นใหม่ล่าสุดของตระกูล CX ที่ถูกบรรจุเข้าไว้ในสายการผลิตของกล้อง Ricoh ซึ่งรูปทรงภายนอกของกล้อง CX1 ดูแล้วแทบจะไม่แตกต่างไปจากรุ่น R10 การออกแบบเน้นความเรียบง่ายควบคู่กับความประณีตในการผลิตที่ยอดเยี่ยม โดยมีบอดี้ภายนอกที่เป็นโลหะขึ้นรูปปั๊มนูนเป็นสันขึ้นมาเป็นกริปมือจับแบบดิบๆ โดยไม่มีการหุ้มยางกันลื่นตามปกติ แต่ก็ให้ความมั่นคงในการจับถือได้ไม่ต่างไปจากกริปมือจับที่เป็นยางอย่างที่หลายคนกังวล ส่วนด้านบนของตัวกล้องยังคงดูดีจากฝาครอบโลหะแผ่นเรียบโชว์ลายเส้นสวยหรูตัดกับตัวอักษรเซาะร่องที่คมชัดให้ความรู้สึกได้ถึงความตั้งใจในการผลิตได้เป็นอย่างดี โดยมีปุ่มเปิดปิดขนาดเล็กวางอยู่คู่ปุ่มชัตเตอร์ที่มีวงแหวนปรับซูม สีโครเมียมมันวาวที่ตอบสนองต่อการโยกปรับช่วงซูมได้โดยมีตัวอักษรและสัญลักษณ์แสดงโหมดถ่ายภาพหลักให้เห็นอย่างชัดเจน โดยมีโหมด DR และโหมดถ่ายภาพต่อเนื่องเพิ่มขึ้นมาจากรุ่น R10

ด้านหลังของตัวกล้องยังคงเป็นที่อยู่ของจอ LCD ขนาด 3 นิ้วที่ได้รับการอัพเกรด ให้มีความละเอียดที่สูงมากถึง 920,000 พิกเซล โดยมีองศาในการมองภาพที่กว้างและมีค่าความเปรียบต่างที่สูงทำให้ง่ายต่อการมองภาพเพื่อถ่ายภาพและชมภาพที่ถูกถ่ายมา อีกทั้งยังได้รับการเคลือบผิวแบบพิเศษเพื่อเพิ่มความทนทานต่อการเกิดรอยขีดข่วน รอยนิ้วมือและยังป้องกันแสงสะท้อนที่อาจจะเกิดขึ้นในขณะใช้งานกลางแจ้งได้เป็นอย่างดี ด้านข้างของจอ LCD ได้มีการจัดวางปุ่มควบคุมเอาไว้อย่างเป็นระเบียบโดยมีแผ่นยางกันลื่นทรงสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่มีสันนูนขึ้นมารับกับนิ้วมือที่ทำให้สามารถจับกล้องได้อย่างถนัดมือและง่ายต่อการควบคุมแท่งจอยสติกแบบสี่ทิศทางที่ใช้ปรับตั้งภาพแฟลช โหมดมาโคร และใช้เป็นปุ่มกดเพื่อตั้งค่าตามที่ต้องการ ต่ำลงมาเป็นปุ่มเล่นภาพทรงกลม ปุ่มเมนู ปุ่ม Fn ปุ่มลบภาพ และปุ่ม Display ทรงสี่เหลี่ยมแบบที่สามารถกดใช้งานได้อย่างสะดวกชัดเจนไม่สับสน

หัวใจหลักของกล้อง CX1 ที่ทำให้กล้องรุ่นนี้มีความโดดเด่นและแตกต่างไปจากรุ่น R10 ก็คือการที่ Ricoh ได้ตัดสินใจเปลี่ยนเซ็นเซอร์ภาพจากแบบ CCD มาเป็นเซ็นเซอร์ภาพแบบ CMOS ความละเอียดขนาด 9.2 ล้านพิกเซล ที่สามารถเก็บรายละเอียดต่างๆ ของภาพออกมาได้อย่างครบถ้วนสวยงามควบคู่ไปกับระบบประมวลผลภาพรุ่นใหม่ล่าสุดแบบ Smooth Imaging Engine IV ที่สามารถถ่ายทอดสีสันและรายละเอียดของภาพได้อย่างครบถ้วน คมชัด สวยงามเป็นธรรมชาติ ลดการเกิด Noise ในภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีการพัฒนารูปแบบในการประมวลผลภาพให้มีประสิทธิภาพสูง

โดยเฉพาะในการจัดการกับค่าไดนามิกเรนจ์ที่กว้างมากขึ้นจากปกติได้ถึง +1EV เมื่อเทียบกับรูปแบบการทำงานแบบเดิม

กล้อง CX1 ยังคงเลือกใช้เลนส์ซูมมุมกว้างกำลังขยายขนาด 7.1x แบบออปติคอล ที่ให้ช่วงความยาวโฟกัสอันทรงพลังขนาด 28-200 มม. (เทียบเท่า) ซึ่งได้รับการออกแบบให้สามารถซ่อนเก็บอยู่ภายในบอดี้กล้องที่กะทัดรัดได้อย่างน่าทึ่งโดยมีการเริ่มต้นทำงานได้อย่างรวดเร็วทันใจเช่นเดียวกับการซูมภาพจากช่วงเลนส์มุมกว้างไปยังช่วงเลนส์เทเลโฟโต้ที่นุ่มนวล รวดเร็ว ไม่สะดุดหรือติดขัด นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันช่วยในการซูมภาพแบบ Step Zoom ที่กล้องจะทำการล็อกค่าความยาวโฟกัสออกเป็น 7 ช่วง ตั้งแต่ 28 มม., 35 มม., 50 มม., 85 มม., 105 มม., 135 มม. และ 200 มม. (เทียบเท่า) ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการปรับซูมภาพได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ซึ่งทาง Ricoh ยังได้มีการพัฒนาระบบปรับโฟกัสอัตโนมัติให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้มีความเร็วในการปรับโฟกัสแบบอัตโนมัติ (AF Speed) ที่รวดเร็วมากขึ้นจากกล้องรุ่นเดิมทั้งในสภาพแสงสว่างจ้าและแสงต่ำได้อย่างชัดเจน

กล้อง CX1 มีโหมดถ่ายภาพมาตรฐานตามปกติให้เลือกใช้อย่างมากมายตั้งแต่โหมดถ่ายภาพอัตโนมัติ (Auto Shooting Mode) โหมด Easy ที่เน้นความเรียบง่ายในการใช้งานแต่ยังสามารถปรับตั้งค่าบางอย่างได้ โหมด Scene ที่มีให้เลือกใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ถ่ายภาพต่างๆ อาทิ โหมดถ่ายภาพบุคคล โหมดตรวจจับใบหน้า โหมดกีฬา โหมดทิวทัศน์กลางคืน โหมดมาโครซูม โหมดแก้ไขภาพบิดเบือน (Skew Correct Mode) และโหมด Text เป็นต้น โดยได้มีการบรรจุโหมดถ่ายภาพใหม่ล่าสุดที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นมาอีก 2 โหมดได้แก่โหมด Dynamic Range Double Shot Mode (DR) และโหมดถ่ายภาพต่อเนื่อง (Continuous Mode) ซึ่งในโหมด DR กล้องจะเพิ่มค่าไดนามิกเรนจ์ให้กับภาพที่มีค่าความเปรียบต่างที่สูงมากๆ อย่างเช่นภาพทิวทัศน์ชายทะเลที่มักจะมีสภาพแสงในส่วนสว่างและบริเวณเงาดำที่แตกต่างกันมาก ด้วยการบันทึกภาพที่มีค่าการเปิดรับแสงที่ต่างกัน 2 ภาพ(ต่อเนื่องกัน) จากนั้นจึงนำมารวมกันเป็นภาพเดียวกันโดยอัตโนมัติ ที่ทาง Ricoh กล่าวว่าจะช่วยขยายค่าไดนามิกเรนจ์ออกไปได้มากถึง 12EV

ส่วนโหมดถ่ายภาพต่อเนื่อง (Continuous Mode) นั้นผู้ใช้สามารถเลือกการถ่ายภาพต่อเนื่องได้ด้วยความเร็วสูงถึง 4 ภาพต่อวินาทีด้วยความละเอียดปกติ (Normal Continuous mode) หรือจะเป็นแบบ M-cent plus ที่กล้องจะบันทึกภาพด้วยความเร็ว 30 ภาพต่อวินาทีในเวลา 1 วินาที หรือ 15 ภาพต่อ 2 วินาที ในเวลา 2 วินาที จากการกดปุ่มชัตเตอร์แช่เพียงครั้งเดียวตลอดเวลา 1 หรือ 2 วินาที โดยทั้ง 2 แบบนี้จะได้ภาพที่มีความละเอียดลดลงเหลือเพียง 2 ล้านพิกเซล แต่ถ้าต้องการความเร็วสูงระดับ 120 ภาพต่อวินาที ในช่วงเวลา 1 วินาที หรือ 60 ภาพต่อวินาที ในเวลา 2 วินาที คุณภาพของภาพก็จะลดลงเหลือที่ VGA ซึ่งมีประโยชน์มากในการนำมาใช้ศึกษาแอ็คชั่นต่างๆ ได้อย่างละเอียดชัดเจน อย่างเช่น การวิเคราะห์วงสวิงกอล์ฟได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้แล้วกล้อง CX1 ยังมีฟังก์ชันถ่ายภาพที่มีประโยชน์มากมายไม่ว่าจะเป็นสเกลบอกระดับความเอียงของกล้อง (Electronic Level Function) ฟังก์ชัน Multi-target AF ที่จะบันทึกภาพที่มีจุดโฟกัสที่แตกต่างกัน 7 ภาพให้โดยอัตโนมัติ ระบบป้องกันการสั่นไหว (Blur reduction) ระบบตรวจจับใบหน้าที่มีประโยชน์ หรือจะเป็นโหมดมาโครที่สามารถบันทึกภาพได้ใกล้เพียง 1 เซนติเมตร รวมถึงฟังก์ชันการปรับแต่งภาพในตัวกล้อง อาทิ การปรับค่า Level การปรับโทนสีภาพ การตัดส่วนภาพ เป็นต้น


ขอบคุณที่มา : technology.impaqmsn.com

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ในอนาคต




บทความโดย ดร. ธีรเกียรติ์ เกิดเจริญ

นาโนอิเล็กทรอนิกส์

ปัจจุบันเรากำลังอาศัยอยู่ในโลกอิเล็กทรอนิกส์และดิจิตอลคอมพิวเตอร์ ศาสตร์ของอิเล็กทรอนิกส์ทำให้มนุษย์เรา สรรสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกขึ้นมามากมาย และดูเหมือนไม่ว่าเราจะมองไป ณ ที่แห่งใดก็ตามที่อารยะธรรมของมนุษย์แผ่ไปถึง เราก็จะพบสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ ที่มีส่วนของอิเล็กทรอนิกส์เป็นองค์ประกอบอยู่แทบทั้งสิ้น จนอาจกล่าวได้ว่าอิเล็กทรอนิกส์เป็นพื้นฐานของอารยะธรรมสมัยใหม่ บทความนาโนเทคโนโลยีในตอนนี้ จึงมุ่งไปที่บทบาทของนาโนเทคโนโลยีที่กำลังจะเข้าไปปรับเปลี่ยนทิศทาง และพัฒนาศาสตร์ของอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งกำลังจะเดินทางมาถึงจุดอับ ให้สามารถพัฒนาต่อไปได้ การกล่าวเช่นนี้ อาจทำให้หลายๆ ท่านรู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนัก วิศวกรคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ไม่อยากยอมรับความจริงข้อนี้ ความจริงที่ว่าเราอาจจะไม่สามารถรักษาสถิติเดิมๆ ที่เราสามารถพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มีความเร็วสูงขึ้นในอัตราที่สูง ดังที่ กอร์ดอน มัวร์ ผู้ก่อตั้งบริษัทอินเทลกล่าวไว้ว่า "จำนวนของทรานซิสเตอร์ซึ่งบรรจุอยู่บนแผ่นวงจรรวม หรือ ไมโครชิพ นี้จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกๆ 18 เดือน" คำกล่าวอันสร้างชื่อแก่เขาในฐานะกฎของมัวร์ (Moore's Law) ซึ่งได้รับการยอมรับ และเป็นแรงกดดันให้วงการผลิตชิพสามารถพัฒนาชิพ ให้มีความเร็วสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ซื้อมาใหม่มีอันต้องล้าสมัยไปทุกๆ ปีครึ่งเช่นเดียวกัน แต่กฎของมัวร์นี้กำลังจะถูกสั่นคลอน การเพิ่มจำนวนทรานซิสเตอร์ลงไปบนชิพด้วยการย่อขนาดของวงจรกำลังจะมาถึงขีดจำกัด เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์นี้อย่างแจ่มชัด เราน่าจะมาทำความเข้าใจกับพัฒนาการของวงการอิเล็กทรอนิกส์กันก่อน

เครดิตข้อมูล : http://www.rmutphysics.com/

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

แฟลชไดรฟ์ของคุณเร็วแค่ไหน?


เชื่อว่า เพื่อนๆ ส่วนใหญ่น่าจะมีแฟลชไดรฟ์ไว้ใช้เป็นของตนเองแล้ว เนื่องจากราคาที่ถูกมากในขณะที่ความจุเพิ่มขึ้นทุกวัน เราใช้มันแบ็กอัพข้อมูลทั้งที่สำคัญ และไม่สำคัญ ตลอดจนแลกเปลี่ยนไฟล์ หรือแม้กระทั่งผู้ใช้วิสต้า ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วให้กับการทำงานได้อีกด้วย

ด้วยความที่พวกมันอรรถประโยชน์ขนาดนี้นี่เอง ทำให้เราต้องใส่ใจดูแล ตรวจสอบสุขภาพของพวกมันบ้าง ก่อนหน้านี้นายเกาเหลาได้เคยแนะนำยูทิลิตีFreeundelete (http://www.officerecovery.com/freeundelete/index.htm) กู้ไฟล์ หรือแบ็กอัพไฟล์ด้วยยูทิลิตี USB Flash Drive Manager (http://www.officerecovery.com/freeundelete/index.htm ) จากไดรฟ์พวกนี้ไปบ้างแล้ว ล่าสุดได้ไปพบยูทิลิตีอีกตัวหนึ่งที่ทำงานในระบบ 32 บิต สามารถรันได้ทั้งบน XP และ Vista เลยอดไม่ได้ที่จะนำมาฝากกัน ยูทิลิตีตัวนี้ชื่อ Flash Memory Toolkit http://www.flashmemorytoolkit.com/ ตัวเล็กจิ๋ว แต่ทำงานได้มากมาย

ไม่ว่าจะเป็นตรวจสอบข้อผิดพลาดในแฟลชไดรฟ์ ลบข้อมูลอย่างรวดเร็ว กู้ไฟล์ แบ็กอัพ และรีสตอร์ แต่ที่นายเกาเหลาสนใจมากที่สุดไม่ใช่ฟังก์ชันเหล่านี้เลย แต่มันคือ การทดสอบประสิทธิภาพการอ่านเขียนไฟล์ของไดรฟ์ หรือ File benchmark ซึ่งทำให้เราสามารถทดสอบได้ว่า ยูเอสบีแฟลชไดรฟ์ของเรามีความสามารถในการอ่านเขียนข้อมูลเร็วแค่ไหน หรือก่อนซื้อ อาจจะลองยืมของเพื่อนๆ มาทดสอบดูก่อนก็ได้ จะได้เลือกตัวที่เร็วที่สุด ไม่ใช่ถูกที่สุด แต่ช้าที่สุดไงครับ

ปกติ Flash Memory Toolkit จะจำหน่ายในราคา 39.95 เหรียญฯ (ประมาณหนึ่งพันห้าร้อยบาท) แต่มันก็มีเวอร์ชันแจกฟรีให้ดาวน์โหลดเหมือนกัน แต่จะมีบางฟังก์ชันที่ใช้งานไม่ได้ โดยการทดสอบส่วนใหญ่จะทำในเรื่องของการอ่านเท่านั้น ไม่ทดสอบความสามารถในการเขียน ยกเว้น File benchmark ที่ทดสอบทั้งการอ่านและเขียน ซึ่งก็พอที่จะวัดประสิทธิภาพของแฟลชไดรฟ์ที่ใช้งานได้แล้ว โดยมันจะทดสอบความสามารถในการอ่าน และเขียนไฟล์ที่มีขนาดตั้งแต่ 1 MB ถึง 5 MB นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันฟอร์แมตไว้ให้ใช้ได้อีกด้วย เพื่อนๆ สามารถเก็บภาพผลการทดสอบได้ด้วยการคลิ้กปุ่ม Screenshort เพื่อไว้เปรียบเทียบกับยูเอสบีแฟลชรุ่นอื่นของเพื่อนๆ ไงครับ

เครดิตข้อมูล : http://www.bcoms.net/

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

เทคโนโลยีสารสนเทศ




สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข่าวสารที่ได้จากการนำ ข้อมูลดิบ (raw data) มาคำนวณทางสถิติหรือประมวลผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งข่าวสารที่ได้ออกมานั้นจะอยู่ในรูปที่สามารถนำไปใช้งานได้ทันที

ในส่วนของ เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) หมายถึงกระบวนการต่างๆ และระบบงานที่ช่วยให้ได้สารสนเทศที่ต้องการโดยจะรวมถึง

เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้สำนักงาน อุปกรณ์คมนาคมต่างๆ รวมทั้งซอฟต์แวร์ทั้งระบบสำเร็จรูปและพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะด้าน


กระบวนการในการนำอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ข้างต้นมาใช้งาน รวบรวมข้อมูล จัดเก็บประมวลผล และแสดงผลลัพธ์เป็นสารสนเทศในรูปแบบต่างๆ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป

เทคโนโลยีของระบบสารสนเทศในปัจจุบัน ประกอบด้วย

-ระบบประมวลผลข้อมูล (Data Processing System)
-ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (Management Information System)
-ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System)
-ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูง (Executive Information System)
-ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert Systems)
-สารสนเทศกับการตัดสินใจ

ในองค์การต่าง ๆ นั้น สามารถแบ่งการทำงานได้เป็น 4 ระดับด้วยกันคือ ระดับวางแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว (strategic planning) ระดับวางแผนการบริหาร (tactical planning) ระดับวางแผนปฏิบัตการ (operation planning) และ ระดับผู้ปฏิบัติการ (clerical) โดยใน 3 ระดับแรกนั้นจะจัดอยู่ใน ระดับบริหาร (Management) และระดับสุดท้ายจัดอยู่ใน ระดับปฏฺบัติการ (Operation)

ระบบสารสนเทศจะทำการเก็บรวมรวบข้อมูลจากระดับปฏิบัติการ และทำการประมวลผลเพื่อให้สารสนเทศกับบุคลากรในระดับต่าง ๆ ซึ่งในแต่ละระดับนั้นจะใช้ลักษณะและปริมาณของสารสนเทศที่แตกต่างไป ระบบสารสนเทศในองค์สามารถแทนได้ด้วยภาพปิรามิด ตามรูปด้านบน

จากภาพจะเห็นได้ว่าโครงสร้างระบบสารสนเทศแบบปิรามิด มีฐานที่กว้างและบีบแคบขึ้นไปบรรจบในยอดบนสุด ซึ่งหมายความว่าสารสนเทศที่ใช้งานจะมีมากในระดับล่างและลดหลั่นน้อยลงไปตามลำดับจนถึงยอดบนสุด เช่นเดียวกับจำนวนบุคลากรในระดับนั้น ๆ

บุคลากรในแต่ละระดับจะเกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศดังนี้

ระดับปฏิบัติการ

บุคลากรในระดับนี้เกี่ยวข้องอยู่กับงานที่ทำซ้ำ ๆ กัน และจะเน้นไปที่การจัดการรายการประจำวัน นั้นคือบุคลากรในระดับนี้เกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศในฐานะผู้จัดหาข้อมูลเข้าสู่ระบบ ตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่ผู้ทำหน้าที่ป้อนข้อมูลการสั่งซื้อของลูกค้าเข้าสู่คอมพิวเตอร์ในระบบสารสนเทศเพื่อการขาย หรือตัวแทนการจองตั๋วและขายตั๋วในระบบจองตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น


ระดับวางแผนปฏิบัติการ

บุคคลในระดับนี้ จะเป็นผู้บริหารขั้นต้นที่ทำหน้าที่ควบคุมการปฏิงานประจำวัน และการวางแผนปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับระยะเวลาสั้น ๆ เช่น แผนงานประจำวัน ประจำสัปดาห์ หรือประจำไตรมาส ข้อมูลที่ผู้บริหารระดับนี้ต้องการส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับผลการปฏิบัติในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ผู้จัดการแนกจายตรงอาจต้องการรายงานสรุปผลการขายประจำไตรมาสของพนักงานขาย เพื่อประเมินผลของพนักงานขายแต่ละคน เป็นต้น


ระดับวางแผนการบริหารบุคลากรในระดับนี้

จะเป็นผู้บริหารระดับกลาง ซึ่งทำหนาที่วางแผนให้บรรลุเป้าหมายต่างๆ เพื่อให้องค์กรประสบความสำเร็จตามแผนงานระยะยาวตามที่กำหนดโดยผู้บริหารระดับสูง มักจะเป็นสารสนเทศตามคาบเวลาซึ่งมีระยะเวลานานกว่าผู้บริหารขั้นต้น และจะเป็นสารสนเทศที่รวบรวมข้อมูลทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร เช่น ของคู่แข่งหรือของตลาดโดยรวม เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้บริหารระดับนี้ยังต้องการระบบที่ให้รายงานการวิเคราะห์แบบ ถ้า-แล้ว (What - IF) นั่นคือสามารถทดสอบได้ว่าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว ตัวเลขหรือสารสนเทศต่างๆ จะเปลี่ยนเป็นเช่นไร เพื่อให้จำลองสถานการณ์ต่างๆที่ต้องการได้ ตัวอย่างเช่น ผู้จัดการฝ่ายขายอาจต้องการทาบผลการขายประจำปีของบริษัทเทียบคู่แข่งต่าง ๆ รวมทั้งอาจต้องการทดสอบว่าถ้าเพิ่มหรือลดลงโฆษณาในสื่อต่าง ๆ จะมีผลกระทบต่อยอดขายอย่างไรบ้าง


ระดับวางแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว

ผู้บริหารระดับนี้จะเป็นระดับสูงสุด ซึ่งเน้นในเรื่องเป้าประสงค์ขององค์กร ระบบสารสนเทศที่ต้องการจะเน้นที่รายงานสรุป รายงานแบบ What-if และการวิเคราะห์แนวโน้มต่างๆ (trand analysis) ตัวอย่างเช่น ประธานบริษัทอาจต้องการรายงานที่แสดงแนวโน้มการขายในอีก 4 ปีข้างหน้าของผลิตภัณฑ์ 3 ชนิดของบริษัท เพื่อดูแนวโน้มในการเติบโตของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ว่า ผลิตภัณฑ์ใดจะมีแนวโน้มที่มีกว่า หรือผลิตภัณฑ์ใดที่อาจสร้างปัญหาให้บริษัทได้ เป็นต้น


อ้างอิง : http://cptd.chandra.ac.th/selfstud/it4life/tech.htm

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

ตำนานวันไหว้พระจันทร์




สำหรับคนจีนแล้วเทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นเทศกาลที่มีความสำคัญเป็นอันดับสองรองจากเทศกาลตรุษจีนทีเดียว คนจีนกับพระจันทร์มีความเกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่นดังนั้นจึงมีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับที่มาของประเพณีไหว้พระจันทร์มีอยู่หลายเรื่องด้วยกัน เรื่อง "ฉังเอ๋อเหินสู"


อ้างอิง : http://www.vcharkarn.com/varticle/32944

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

ไอบีเอ็มเปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ใหม่ zEnterprise System



ไอบีเอ็ม เปิดตัว ระบบเซิร์ฟเวอร์เพื่อการบริหารจัดการข้อมูลและดาต้าเซ็นเตอร์ แบบอัจฉริยะ zEnterprise System ด้วยทุนพัฒนากว่า 4.5 หมื่นล้านบาท โดยช่วยให้องค์กรประหยัดต้นทุนได้กว่า 55% และประมวลผลได้เร็วกว่า ไอบีเอ็ม ซิสเต็ม ซี10 ถึง 60%...

เมื่อวันที่ 13 ก.ย.2553 ที่ผ่านมา นายเกรกกอรี่ ล็อตโก รองประธานและผู้บริหารระดับสูง ผลิตภัณฑ์ซิสเต็มซีเซิร์ฟเวอร์ (เมนเฟรม) บริษัท ไอบีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น และนายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจคอมพิวเตอร์ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด ร่วมเปิดตัว zEnterprise System ปรากฏการณ์ใหม่ของระบบเซิร์ฟเวอร์ซิสเต็มซี (เมนเฟรม) ที่เปี่ยมด้วยพลังและเสถียรภาพสูงสุด ระบบเซิร์ฟเวอร์ที่ไอบีเอ็มเปิดตัวครั้งนี้ นับเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นสำคัญของไอบีเอ็มในรอบ 20 ปี ที่เกิดจากการค้นคว้าด้วยเงินทุนวิจัยกว่า 45,000 ล้านบาทและการร่วมมือกับลูกค้ารายสำคัญทั่วโลกกว่า 3 ปี เพื่อช่วยให้ทุกธุรกิจสามารถผนวกรวมงานบนเซิร์ฟเวอร์ ทั้งเมนเฟรม พาวเวอร์ 7 และซิสเต็มเอ็กซ์ ได้กว่า 100,000 เซิร์ฟเวอร์เป็นหนึ่งเดียว ทั้งนี้ระบบเซิร์ฟเวอร์ดังกล่าว ยังช่วยธุรกิจประหยัดต้นทุนได้กว่า 55% และสามารถประมวลผลได้รวดเร็วกว่า ไอบีเอ็ม ซิสเต็ม ซี10 (z10) ที่ไอบีเอ็มได้เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ได้กว่า 60% อีกทั้งยังช่วยธุรกิจประหยัดพลังงานได้อย่างมากอีกด้วย


ข่าวจาก : ไทยรัฐ
วันที่ : 15 กันยายน 2553

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

แอปเปิลเปิดตัวแท็บเล็ต "ไอแพด" แล้ว!!!



แอปเปิล (Apple) ได้ประกาศเปิดตัว "ไอแพด แท็บเล็ต" (iPad Tablet) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมันมีคุณสมบัติเป็นแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดหน้าจอ 9.7 นิ้ว ซึ่งตำแหน่งทางการตลาดของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว จะอยู่ระหว่าง "ไอโฟน" (iPhone) และ "แม็คบุ๊ค" (MacBook) พร้อมกันนี้ยังได้แนะนำ "iBook Store" หน้าร้านเสมือนสำหรับอีบุ๊กด้วย

"ไอแพด" จะมีความหนาเพียง 0.5 นิ้ว และหนักแค่ 1.5 ปอนด์ (ประมาณ 680 กรัม) ใช้สำหรับท่องเว็บ อีเมล์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง เกมส์ และอีบุ๊ก คุณสมบัติโดยรวมจะคล้ายกับไอพอดทัช (iPod Touch) ที่มีขนาดใหญ่กว่า "เราตั้งใจทำให้ไอแพดเป็นทั้งเทคโนโลยี และศิลปะ" สตีฟจอบส์กล่าว "การรวมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน ทำให้เราได้คำตอบออกมาเป็นไอแพด"

กล่าวโดยสรุป ไอแพดจะสามารถรันแอพพลิเคชันทั้งหมดที่อยู่บนไอโฟน และไอพอดทัชได้ โดยไม่ต้องมีการปรับแต่งการทำงานแต่อย่างใด เพียงแค่ขยายหน้าจอเดิมเป็นสองเท่า มันมาพร้อมกับ iTunes และ App Store คีย์บอร์ดเสมือนสำหรับพิมพ์ และเมนูป๊อปอัพ สนับสนุนการเล่นวิดีโอไฮเดฟฯ เชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi 802.11n และ Bluetooth 2.1+EDR ระบบเซ็นเซอร์ Accelerometer เข็มทิศ ลำโพง ไมโครโฟน และคอนเน็คเตอร์ขนาดมาตรฐาน(30 พิน)ของแอปเปิล


ภายในไอแพดจะใช้ชิป Apple A4 ความเร็ว 1GHz (เป็นชิพที่พัฒนาเอง) และมีหน่วยความจำแฟลชที่มีให้เลือกตั้งแต่ 16GB ถึง 64GB จอบส์อ้างว่า แบตเตอรี่ของมันสามารถทำงานได้นานต่อเนื่อง 10 ชั่วโมง และสแตนด์บายได้นานมากกว่าหนึ่งเดือน ไอแพดไม่มีสารพิษอย่างสารหนู BFR (Brominated flame retardant) ปรอท พีวีซี และสามารถรีไซเคิลได้แทบทุกชิ้น


ไอแพดสนับสนุนการใช้งานเป็น"อีบุ๊ก"ที่มาพร้อมกับร้านหนังสือออนไลน์ "ไอบุ๊กส์" (iBooks) นั่นหมายความว่า แอปเปิลตอนนี้มีร้านค้าออนไลน์ถึง 3 ร้านด้วยกันคือ แอพ สโตร์, ไอจูนส์ สโตร์ และไอบุ๊ก สโตร์ โดยไอแพดรองรับการเปิดไฟล์เอกสาร สเปรดชีต และพรีเซนเทชั่น (iWork ที่ได้รับการปรับแต่งให้ใช้งานบนไอแพด)


ในขณะที่ไอแพดมี Wi-Fi แต่ก็สามารถเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายไร้สาย 3G (ผ่าน AT&T) โดยขึ้นอยู่กับเวอร์ชันของบริการ โดยหากเลือกใข้แบนด์วิดธ์ขนาด 250MB จะต้องเสียค่าบริการ 14.99 เหรียญฯต่อเดือน หรือประมาณ 500 บาท และแบบไม่จำกัดจะอยู่ที่ 29.99 เหรียญฯต่อเดือน หรือประมาณ 1,000 บาท (ถ้าเป็นทรูจะคิดเท่าไรเนี่ย?) ซึ่ง iPad 3G ทุกเครื่องจะปลดล็อค (ไม่ผูกติดกับโอเปอเรเตอร์) และใช้ GSM microSIM card สำหรับข้อตกลงการใช้งานในประเทศต่างๆ จะประกาศในช่วงเดือนมิถุนายน หรือกรกฎาคม สนนราคาของไอแพดจะอยู่ระหว่าง 499 เหรียญฯ (ประมาณ 16,500 บาท) และเพิ่มขยายคุณสมบัติได้จนถึงราคา 829 เหรียญฯ (ประมาณ 27,500 บาท) ขึ้นอยู่กับเวอร์ชันที่เลือก ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

•16GB Wi-Fi อย่างเดียว: $499
•16GB Wi-Fi + 3G: $629
•32GB Wi-Fi only: $599
•32GB Wi-Fi + 3G: $729
•64GB Wi-Fi อย่างเดียว: $699
•64GB Wi-Fi + 3G: $829
นอกจากนี้ไอแพดยังจะมาพร้อมกับอุปกรณ์เสริมทีมีลักษณะเป็น"ด็อคกิ้ง"ที่มีฟังก์ชันคล้ายกรอบรูป พร้อมด้วยคีย์บอร์ด (สามารถเปลี่ยนไอแพดให้กลายเป็นแอคบุ๊ก) และเคส อย่างไรก็ตาม สตีฟจอบส์ไม่ได้แจ้งถึงกำหนดวางตลาดของไอแพดแต่อย่างใด


อ้างอิง : http://www.arip.co.th/news.php?id=410766

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

ห้องเรียนเสมือน (Virtual Classroom)



ห้องเรียนเสมือน (Virtual Classroom) หมายถึงการเรียนการสอนผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยใช้ช่องทางของระบบการสื่อสารและอินเทอร์เน็ต ผู้เรียนสามารถใช้คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ตเข้าไปเรียนในเว็บไซต์ ที่ออกแบบกระบวนการเรียนการสอนให้มีสภาพแวดล้อมคล้ายกับเรียนในห้องเรียนแบบปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนและผู้เรียนกับผู้เรียน โดยมีบรรยากาศเสมือนพบกันจริง กระบวนการเรียนการสอนจึงไม่ใช่การเดินทางไปเรียนในห้องเรียนแต่เป็นการเข้าถึงข้อมูลเนื้อหาของบทเรียนได้โดยผ่านคอมพิวเตอร์

ข้อจำกัดห้องเรียนเสมือน
ห้องเรียนเสมือนสามารถจำแนกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
จัดการเรียนการสอนในห้องเรียนธรรมดา แต่มีการถ่ายทอดสดภาพและเสียงเกี่ยวกับเนื้อหาของบทเรียนโดยอาศัยระบบโทรคมนาคมและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งเรียกว่า Online ไปยังผู้เรียนที่อยู่นอกห้องเรียน นิสิตสามารถรับฟังและติดตามการสอนของผู้สอนได้จากเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเองอีกทั้งยังสามารถโต้ตอบกับอาจารย์ผู้สอนหรือเพื่อนนิสิตที่อยู่คนละแห่งได้

ห้องเรียนเสมือนเป็นการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบเครือข่าย ที่อาศัยประสิทธิภาพของเทคโนโลยีการสื่อสสารและอินเทอร์เน็ต การเรียนการสอนจึงต้องมีการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ของผู้เรียนเข้ากับเครือข่ายคอมพิวเตอร์การเรียนการสอนทำได้โดยผู้เรียนใช้คอมพิวเตอร์ เข้าสู่เว็บไซต์ ของห้องเรียนเสมือนและดำเนินการเรียนตามกิจกรรมที่ผู้สอนได้ออกแบบไว้ ห้องเรียนลักษณะนี้เรียกว่า ห้องเรียนเสมือนที่แท้ การเข้าสู่เว็บไซต์ห้องเรียนเสมือนนี้ ภาพที่ปรากฏเป็นหน้าแรก เรียกว่า โฮมเพจ ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นชื่อรายวิชาที่สอน ชื่อผู้สอน และข้อความสั้นๆต่างๆที่เป็นหัวข้อสำคัญในการเรียนการสอนเท่านั้น โฮมเพจนี้จะถูกออกแบบต่างๆให้มีความสวยงามด้วยภาพถ่าย ภาพกราฟิก ตัวอักษรและการให้สีสันเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เรียน ข้อความสั้นๆที่จัดเรียงอยู่ในหน้าโฮมเพจได้ถูกเชื่อมโยงไปสู่หน้าเว็บเพจ ซึ่งเป็นหัวข้อย่อยและเชื่อมโยงไปสู่เว็บเพจรายละเอียด ซึ่งเป็นข้อมูลการเรียนการสอนในแต่ละส่วนตามลำดับความสำคัญ โดยผู้เรียนเพียงคลิกเม้าท์เลือกเรียนในหัวข้อซึ่งเป็นเนื้อหาหรือกิจกรรมการเรียนการสอนที่ตนเองสนใจได้ตามต้องการ เช่น เว็บเพจประกาศข่าว เว็บเพจประมวลวิชา เว็บเพจเนื้อหา เว็บเพจแสดงความคิดเห็น เว็บเพจสรุปบทเรียน เว็บเพจตอบปัญหา เว็บเพจแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ เว็บเพจการประเมินผล และเว็บเพจอื่นๆตามที่ถูกออกแบบไว้

แนวคิดการจัดห้องเรียนเสมือน

ความคิดรวบยอด
ห้องเรียนเสมือน เป็นการจัดสิ่งแวดล้อมในความว่างเปล่า (space) โดยอาศัยศักยภาพของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เป็นการจัดประสบการณ์เสมือนจริงแก่ผู้เรียน นอกจากนั้นยังมีสิ่งสนับสนุน อื่นๆที่จะช่วยทำให้การมีปฏิสัมพันธ์แบบเผชิญหน้าที่บางโอกาสอาจจะเป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้ยากนั้นสามารถกระทำได้เสมือนบรรยากาศการพบกันจริงๆกระบวนการทั้งหมดดังที่กล่าวมานี้มิใช่เป็นการเดินทางไปโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยแต่จะเป็นการเข้าถึงทางด้านการพิมพ์การอ่านข้อความหรือข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ที่มีซอฟแวร์เพื่อควบคุมการสร้างบรรยากาศแบบห้องเรียนเสมือน การมีส่วนร่วมจะเป็นแบบภาวะต่างเวลา ซึ่งทำให้มีผู้เรียน ในระบบห้องเรียนเสมือนสามารถเชื่อมต่อเข้าไปศึกษาได้ทุกที่ทุกเวลา

ห้องเรียนเสมือน
หมายถึง การจัดประสบการณ์เรียนรู้ในรูปแบบของ software โดยมีวัตถุประสงค์ ที่จะช่วยสนับสนุนให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้โดยสามารถเลือกเวลาและสถานที่ที่จะเรียนรู้ได้ด้วยตนเองโดยผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการจัดห้องเรียน รวมถึงการประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้หรือไม่ นอกจากนั้นสิ่งที่เราเรียนในห้องเรียนเสมือนมีคือ การปฏิสัมพันธ์หรือสังคมระหว่างผู้เรียนด้วยกัน เป็นสิ่งที่ต้องคิดว่าห้องเรียนเสมือนจะทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร

เนื่องจากการเรียนการสอนแบบเดิมมีข้อจำกัด ดังนี้

1.สถานที่จำกัดเฉพาะในห้องเรียน

2.การเรียนรู้จำกัดเฉพาะกับครู ผู้เรียน และตำรา

3.เวลาในการจัดการเรียนการสอน

4.โอกาสในการเรียนการสอน สถานที่เรียนไม่เพียงพอผู้ประสงค์จะเรียน

5.สัดส่วนของครูและนักเรียนไม่เหมาะสม


อ้างอิง http://www.kroobannok.com/24048

เรื่องไข่ๆ กินแค่ไหนถึงจะพอดี





ไข่ฟองกลมๆ เหล่านี้จะช่วยรักษารูปร่างคุณให้ดี หรือส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคุณกันแน่

น้อยกว่า 3 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ไม่เพียงพอ
การไม่ทานไข่อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้นะ ไข่ฟองเล็กๆ หนึ่งฟอง มีปริมาณวิตามินบี 12 ซึ่งดีต่อร่างกายมากกว่าปริมาณมาตรฐานที่แนะนำ ให้บริโภคต่อวันเสียอีก "วิตามินบี 12 จำเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาท" อะแมนดา เออร์เซลล์ นักโภชนาการและผู้เขียนหนังสือ Complete Guide to Healing Foods กล่าว "ถ้าขาดวิตามิน เส้นใยประสาทอาจถูกทำลายจนฟื้นฟูกลับคืนมาไม่ได้"

นอกจากนี้ ไข่ยังดีต่อสายตาคุณโดยเมื่อไม่นานมานี้มีผลการศึกษาจากอเมริกาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่ม ขึ้นได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีนซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ ในไข่แดงจะช่วยบำรุงจอประสาทตานั่นเอง

6 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ปริมาณที่พอดี
ไข่เจียวถือเป็นยาบำรุงร่างกายได้เลย เพราะนอกจากไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณสารซีลีเนียมและวิตามินอี ในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีหุ่นกลมเป็นไข่อีกด้วย ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่า คนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบ จะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่ในมื้อเช้าได้ถึง 65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน

"โปรตีน ในไข่จะทำให้คุณรู้สึกอิ่มขึ้น ถึง 50 เปอร์เซนต์ และยังทำให้คุณลดปริมาณมื้อเที่ยงที่ทานโดยเฉลี่ยได้อีก 164 แคลอรี่" นิคิล ดูเรนดาร์ ผู้เขียนงานวิจัยกล่าว แต่ถ้าคุณอยากสร้างกล้ามเนื้อก็ไม่ต้องกังวล เพราะงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทกซัสเอแอนด์เอ็ม พบว่า การทานไข่วันละ 3 ฟอง เป็นเวลา 2 วัน ต่อสัปดาห์จะช่วยหนุ่มนักเล่นเวตทั้งหลายสร้างกล้ามเนื้อที่ปราศจากไขมันได้ เป็น 2 เท่าในช่วงเวลา 12 สัปดาห์ แล้วเรื่องคอเลสเตอรอลที่เล่าลือกันล่ะ "จริงค่ะ ไข่มีคอเรสเตอรอล" พาเมลา ไดสัน นักโภชนาการแห่งสมาคมโภชนาการประจำสหราชอาณาจักร กล่าว

"แต่จัดว่ามี ผลน้อยมากต่อการเพิ่มระดับคอลเรสเตอรอลในเลือด เมื่อเทียบกับปริมาณไขมันอิ่มตัวที่คุณบริโภคอยู่ทุกวัน" นอกจากนี้ผลการวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ของมหาวิทยาลัยคอนเนติคัตยัง พบว่า การทานไข่ช่วยลดคอเรสเตอรอล LDL (ไม่ดี) เพิ่มคอเรสเตอรอล HDL (ดี) และลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมองได้

6 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ปริมาณที่พอดี
ตามรายงานที่ตีพิมพ์ใน วารสาร American Journal of Clinical Nutrution ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้านได้เหมือนกัน ถ้าคุณทานมากกว่า 1 ฟองต่อวัน ติดกัน ทุกวัน "ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ทำให้มีอันตรายถึงชีวิต ในทางตรงกันข้ามการทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซนต์" ดร.ไมเคิล กาเซียโน แห่งคณะแพทยศาสตร์ของฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นผู้เขียนรายงานการวิจัย กล่าวว่า ที่สำคัญคือ สำหรับหนุ่มที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไข่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ ดังนั้นคำพูดที่ว่าทานไข่วันละฟองอาจทำให้คุณไม่ป่วยไข้และห่างไกลหมอ ข้อนี้เฉพาะในกรณีที่คุณตรวจสุขภาพเป็นประจำ และร่างกายแข็งแรงอยู่แล้วเท่านั้น

อ้างอิง http://www.vcharkarn.com/varticle/41450

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

คำพ่อสอน

” . . . ความเข้มแข็งในจิตใจนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องฝึกฝนแต่เล็ก เพราะว่าต่อไปถ้ามีชีวิตที่ลำบาก ไปประสบอุปสรรคใด ๆ ถ้าไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีความรู้ ไม่มีทางที่จะผ่านอุปสรรคนั้นได้ เพราะว่าถ้าไปเจออุปสรรคอะไร ก็ไม่มีอะไรที่จะมาช่วยเราได้ แต่ถ้ามีความรู้ มีอัธยาศัยที่ดี และมีความเข้มแข็งในกาย ในใจ ก็สามารถที่จะผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ นั้นได้ ความเข้มแข็งในใจนั้น หมายความว่า ไม่ท้อถอย และไม่เกิดอารมณ์มาทำให้โกรธ อารมณ์นั้นก็คือ ความโกรธ ความฉุนเฉียว ความน้อยใจ ทั้งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้คิดไม่ออก . . . ”

พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะครูและนักเรียนโรงเรียนราชวินิต
วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๑๘

อ้างอิง http://happyhappiness.monkiezgrove.com/

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

ความสำคัญของแร่ธาตุต่อร่างกาย


ความสำคัญของแร่ธาตุต่อร่างกาย
บทความดีๆเรื่องแร่ธาตุกับร่างกายเราเกร็ดความรู้รอบตัว
ธาตุในร่างกายคนเราส่วนใหญ่ประกอบด้วย คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน และ ไนโตรเจน ซึ่งมีถึง ร้อยละ 95-96 น้ำหนักร่างกาย ที่เหลืออีก 4-5% เป็นะพวกแร่ธาตอื่นๆ ซึ่งวันนี้เราจะมาดูความสำคัญของมันกันครับ
ธาตุที่มีปริมาณมาก – มีประมาณ 60-80% (จาก 4-5%) คือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ฯลฯ
ธาตุที่มีปริมาณน้อย – ร่างกายยังต้องการ แต่ในจำนวนน้อยๆก็เพียงพอ; เหล็ก สังกะสี ทองแดง ฯลฯ
ธาตุที่มีอยู่น้อยมาก – หน้าที่แท้จริงของสารพวกนี้ยังไม่ประจักษ์ มีดังนี้ อลูมิเนียม โบรอน โครเมียม ฯลฯ
ความสำคัญของแร่ธาตุ

รักษาสมดุล กรด-เบสให้คงที่ ซึ่งเอนไซม์จะทำงานได้ดี
เร่งปฏิกิริยาในร่างกาย
ส่วนประกอบของเนื้อเยื่อ
คุมสมดุลของน้ำ
ควบคุมการทำงานของเซลล์กล้ามเนื้อ, ประสาท

เกร็ดความรู้รอบตัว

อ้างอิง http://www.blog.bunterng.com/

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

มารู้จัก ศัพท์คอมพิวเตอร์(เบื้องต้น)




Gateway
ความหมาย : ประตูสัญญาณที่ต่อเชื่อมไว้ระหว่างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใช้คอมพิวเตอร์ต่างตระกูลกัน

Enable
ความหมาย : ทำให้ใช้งานได้ หรือ ทำให้มีความสามารถ,ให้ทำงาน

Error massage
ความหมาย : ข้อความแสดงความผิดพลาด , ข้อความระบุความผิดพลาด

Download
ความหมาย : โอนย้ายข้อมูลหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์จากระบบที่ใหญ่สู่ระบบที่เล็กกว่า

Disable
ความหมาย : ทำให้ใช้งานไม่ได้

byte
ความหมาย : ขนาดของข้อมูลของข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ จำนวน 8 บิต, หน่วยของข้อมูล สำหรับ คอมพิวเตอร์เท่ากับ 1 ตัวอักษรหรือ ตัวเลข 1 ตัว กลุ่มเลขฐานสอง จำนวน 8 บิต ซึ่งใช้แทนตัวอักษร หรือตัวเลข 1 ตัว

bit
ความหมาย : บิต, เลขโดดฐาน 2,โดยทั่วไปเราจะเรียกติดปากว่าเลขฐานสอง, หน่วย ข้อมูลที่เล็กที่สุด มีค่าเป็นตัวเลขระบบฐาน 2 คือ 0 หรือ 1
หมายเหตุ คือข้อมูลมีค่าเป็นตัวเลขฐาน 2 คือ 1 หรือ 0 อย่างไดอย่างหนึ่งเท่านั้น

bps
ย่อมาจาก :Byte per second
ความหมาย : ไบต์ต่อวินาที เช่น เป็นหน่วยการรับส่งข้อมูลว่าในหนึ่งวินาทีรับหรือส่งข้อมูลได้กี่ไบต์(1 byte = 8 bit)

Noise
ความหมาย : สัญญาณรบกวน , คลื่น รบกวน ที่มีผลต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ PC

Protocol
ความหมาย : วิธีปฎิบัติที่เป็นมาตรฐานในการจัดส่งผ่านข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือเรียก วิธีการที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลคอมพิวเตอร์

Lan
ย่อมาจากคำว่า :Local Area Network
ความหมาย : ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ชนิดหนึ่งที่เชื่อมคอมพิวเตอร์ เข้าด้วยกันโดยใช้ เครือข่ายท้องถิ่น เช่น การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันโดยที่เครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ไกล้กันหรือไม่ไกลกันมาก

IP Address
ความหมาย : คือหมายเลขอินเตอร์เน็ตหรือหมายเลขประจำตัวของคอมพิวเตอร์ ชึ่งจะมีหมายเลขที่ไม่ซ้ำกันเลย ประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุด ที่คั่นด้วยจุลภาค (.) โดยตัวเลข แต่ละชุดจะมีค่าได้ตั้งแต่ 0 จนถึง 255 เช่น 172.16.1.189 เป็นต้น

ADSL
ย่อมาจาก :Asymmetric Digital Subscriber Line
ความหมาย : คือเทคโนโลยี การสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงบนข่ายสายทองแดงหรือคู่สายโทรศัพท์ ซึ่งสามารถแยกสัญญาณข้อมูลและเสียงออกจากกัน ทำให้สามารถโทรศัพท์และใช้อินเตอร์เน็ตได้พร้อมกัน โดยมีลักษณะ สำคัญคือ มีอัตราการรับข้อมูล (Downstream) สูงสุดที่ 8 Mbps. และ อัตราการส่งข้อมูล (Upstream) สูงสุดที่ 1 Mbps. โดยระดับความเร็วในการรับ-ส่ง ข้อมูลจะขึ้นอยู่กับระยะทาง และคุณภาพ ของคู่สายนั้นๆ ADSL เป็นอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ผ่านสายโทรศัพท์ธรรมดา แต่ต้องใช้โมเด็มที่เป็น ADSL ด้วยADSL เป็นอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ผ่านสายโทรศัพท์ธรรมดา แต่ต้องใช้โมเด็มที่เป็น ADSL ด้วย

DNS
ย่อมาจาก :Domain Name System
ความหมาย : คือ ระบบชื่อโดเมนที่ใช้อ้างอิงถึงคอมพิวเตอร์ ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ต

E-mail
ย่อมา จาก :Electronic Mail
ความ หมาย : จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เป็นข้อมูลที่มีการรับและส่งโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยผ่านเครือข่ายของการสื่อสาร เช่น จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถส่งไปได้ไกลทั่วโลกเร็วและประหยัด

Home page
ความหมาย : ข้อความหรือกราฟิกที่แสดงหน้าแรกของ Word Wide Web (WWW)

Modem
ย่อมาจาก :Modulator Demodulator
ความหมาย : คืออุปกรณ์ ที่ทำหน้าที่ในการเปลี่ยนสัญญาณดิจิตอลให้เป็นสัญญาณอนาลอก เพื่อส่งไปบนสายโทรศัพท์และในทำนองกลับกัน ก็รับสัญญาณจากสายโทรศัพท์ เพื่อเปลี่ยนให้เป็นสัญญาณดิจิตอลดังเดิม โมเด็มแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ External Modem , Internal Modem อธิบายได้อีกอย่างก็คือ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ทำหน้าที่รับและส่งข้อมูลของคอมพิวเตอร์ ขณะเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ปัจจุบันบางรุ่นสามารถรับส่งแฟ๊กซ์ได้

URL
ย่อมาจาก :Uniform Resource Locator
ความหมาย : คือรหัสค้นข้อมูลบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่เป็นบริการสื่อสารเวิล์ดไวด์ เว็บ ซึ่งมีรูปแบบดังนี้ type://host/path/file
type : เป็นรูปแบบการสื่อสาร เช่น http , ftp
host : เป็นชื่อโฮสต์ของคอมพิวเตอร์เซอร์เวอร์
path : เป็นไดเรกทอรีบนเซิร์ฟเวอร์ในรูปแบบของระบบยูนิกซ์ file : เป็นชื่อไฟล์ข้อมูล เช่น http://www.noknoi.com : ที่อยู่ของข้อมูลบน WWW ซึ่งถ้าเราจะหาข้อมูลเราต้องทราบที่อยู่ของ home page หรือ URL ก่อน

Website
ความหมาย : คือระบบคอมพิวเตอร์ ที่ทำหน้าที่เก็บ Web Page ต่างๆ หรือคือสถานที่ที่อยู่ของ Home page นั่นเอง คือโปรแกรมที่ใช้ในการเข้าสู่ www เช่น Internet Explorer และ Netscape Navigator เป็นต้น


ที่มา http://www.vcharkarn.com/varticle/41321

ชาร้อนยับยั้งอัลไซเมอร์



ข่าวดีสำหรับผู้ป่วยอัลไซเมอร์ทุกท่าน ที่ต่อไปไม่ต้องทานยาเยอะๆ อีกต่อไปแล้ว
เพราะแค่คุณดื่มชาวันละแก้ว ก็สามารถยับยั้งการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้
ดร. เอ็ด โอเคลโล่ แห่งศูนย์วิจัยสมุนไพร มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ทางตะวันออก
เฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ ได้รายงานผลการวิจัยว่า การที่คุณดื่มชาเขียว
หรือชาดำวันละ 1 ถ้วยทุกวัน สามารถยับยั้งการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ เพราะ
ในชาเขียว และชาดำ มีสารที่ช่วยยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาของเอ็นไซม์ที่ก่อให้เกิด
โรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้การดื่มชาเขียวยังสามารถป้องกันการเกิดปฏิกิริยาเบต้า-
ซีเครเทส (Beta-secretase) ที่เป็นขั้นตอนในการผลิตตะกอนโปรตีนในสมอง
อันเป็นสาเหตุของการป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ แต่คุณจะต้องดื่มชาเขียวอย่างน้อย
1 อาทิตย์ถึงจะเห็นผลดี แต่หากคุณดื่มชาดำเพียงแค่ 1 วันคุณก็สามารถเห็นผล
ได้เร็วกว่าการดื่มชาเขียวหลายเท่า

ถึงแม้ว่าแพทย์จะไม่สามารถรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้หายได้ แต่จากการวิจัยเรื่อง
การดื่มชา ก็สามารถยับยั้งและลดภาวะเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ ราคาถูก
ผลข้างเคียงก็ไม่เกิด "ดื่มชาย่อมดีกว่าการรับประทานยานะคะ"


ที่มา : คอลัมน์ Living Beware นิตยสาร ใกล้หมอ
ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2549 ปีที่ 30 ฉบับที่ 11

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

การดูแลเมื่อความดันสูง


ความดันโลหิตสูงนี้ หมายถึงแรงดันของกระแสเลือดที่กระทบต่อผนังหลอดเลือดแดง อันเกิดจากการสูงฉีดของหัวใจ ค่าที่วัดได้ 2 ค่า คือความดันช่วงบน (แรงดันขณะที่หัวใจบีบตัว) และความดันช่วงล่าง (แรงดันขณะหัวใจคลายตัว)

การวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูง รวมทั้งติดตามผลการรักษาที่แน่นอนคือ การตรวจวัดความดันโลหิต การสังเกตดูอาการอย่างเดียวมันไม่แน่นอน เนื่องจากโรคนี้ส่วนมากจะไม่แสดงอาการ คนทั่วไปจึงเข้าใจผิดว่าความดันสูงจะปวดหัวหากตอนไหนไม่ปวดคิดว่าความดันปกติจึงไม่ทานยาต่อเนื่องตามแพทย์บอก จริงๆแล้วความดันโลหิตสูงที่แสดงอาการปวดศรีษะนั้นเป็นเพียงส่วนน้อย และอาการปวดศัรษะส่วนใหญ่เกิดจากความเครียด

เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่แสดงอาการปวดศีรษะ ก็มิได้หมายความว่า ความดันไม่สูง ดังนั้นผู้ป่วยไม่ควรหยุดนาเอง ถึงแม้ว่ารู้สึกสบายดีหรือความดันลดลงแล้วก็ตาม การลกยาหรือหยุดยาควรให้หมอผู้รักษาเป็นผู้พิจารณา เนื่องจากหากเราปล่อยให้ความดันโลหิตสูง และต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ เช่น โรคที่เกี่ยวกับหัวใจ สมอง ตา ไต หลอดเลือดแดงใหญ่ และหลอดเลือดแดงส่วนปลาย เป็นต้น

ในการรักษานอกจากจะรักษาโดยวิธีการใช้ยา ยังมีการใช้วิธีพฤติกรรมบำบัดซึ่งวิธีนี้จะให้ร่วมกับการใช้ยารักษาความดันโลหิตสูงที่แพทย์ผู้รักษาสั่งจ่าย ดังนั้นจะขอแนะนำเกี่ยวกับข้อปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งถือเป็นหัวใจของการักษาโรคนี้คู่กับการใช้ยาลดความดัน ได้แก่

1. ควรจำกัดปริมาณ เกลือโซเดียมกินไม่เกินวันละ 2.4 กรัม (เทียบเท่าเกลือแกง 1 ช้อนชา) โดยงดการกินอาหารเค็ม เนื้อเค็ม ไขเค็ม น้ำพริก กะปิ ปลาร้า ของดองเกลือควรกินอาหารทีมีรสจืดที่สุดเท่าที่กินได้เวลาเลือกอาหารกระป๋องหรืออาหารสำเร็จรูปให้เลือกที่มีปริมาณโซเดียมต่ำ

2. ควรลดน้ำหนัก โดยการงดกินอาหารที่ไม่ไขมันชนิดอิ่มตัว งดของทอด เนื้อ หรือหมูติดมัน ควรกินอาหารที่ทำโดยการต้ม นึ่ง และงดอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล ควรกินผักและผลไม้ให้มาหขึ้น


ที่มา : นิตยสาร alternative health

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

เตือน ไวรัส images.zip ทาง msn และวิธีแก้ไข




วันนี้อยู่ๆเพื่อนใน msn ก็ ส่ง พวก images.zip ถ้าเพื่อนๆ เผลอกดรับ แล้วอย่า att file นั้น ออกมานะถ้า เผลอละก็ เพื่อนที่อยู่ใน contact จะได้ รับ ha ha ha ถ้าเผลอไปแล้ว วิธีแก้ดังนี้

ทางแก้ ไวรัส images.zip ทาง msn

1. กด ctrl + Alt + del เพื่อเรียก task manager

2. ดูที่ process list ว่ามี winlog32.exe หรือไม่ ถ้ามี ให้ end task ไป

3. ไปดูที่ start => run พิมพ์ว่า msconfig แล้ว enter

4. ไปที่ แท๊บ start up ดูหา Winlog32.exe ให้ uncheck มัน แล้ว กด OK ยังไม่ต้อง restart

5. เข้า Start => Search แล้วไป search ที่ drive c: หาไฟล์ winlog32.*

ถ้าเจอ winlog32.exe - ให้ลบทิ้งไป

6. restart Windows ทีนึง


อ้างอิงจาก http://www.svoa.co.th/st_article_info.php?id=104

บุหรี่ไม่ช่วยอะไรซ้ำร้ายเพิ่มความเครียด


ชี้บุหรี่ไม่ได้ช่วยอะไร ในทางกลับกันระดับความเครียดเรื้อรังกลับลดลงเมื่อสิงห์อมควันหันหลังให้มัจจุราชสีเทา

การศึกษาผู้สูบบุหรี่ 469 คนที่พยายามเลิกพฤติกรรมนี้หลังต้องเข้ารับการรักษาตัวด้วยโรคหัวใจ พบว่าคนที่เลิกบุหรี่ได้นานหนึ่งปีมีระดับความเครียดที่สังเกตได้ ลดน้อยลง

ในทางกลับกัน งานวิจัยจากบาร์ตส์ และลอนดอน สกูล ออฟ เมดิซิน แอนด์ เดนทิสทรีระบุว่า ระดับความเครียดของผู้ป่วยโรคหัวใจที่หวนกลับไปสูบบุหรี่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

รายงานที่ตีพิมพ์อยู่ในวารสารแอดดิกชันสนับสนุนทฤษฎีที่ว่า จริงๆ แล้วการสูบบุหรี่กลับทำให้ความเครียดเรื้อรังคงอยู่ อย่างน้อยสำหรับบางคน

"คนที่สูบบุหรี่มักคิดเอาเองว่าบุหรี่ช่วยจัดการความเครียดและบางครั้งคนที่เลิกไปแล้วก็กลับไปสูบใหม่เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้รับมือกับชีวิตที่กดดันได้" ปีเตอร์ ฮาเจ็ค แกนนำการวิจัยกล่าว

งานวิจัยชิ้นนี้กลับแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่มีแนวโน้มมีความเครียดน้อยกว่าสิงห์อมควันเหตุผลอาจไม่เป็นที่ชัดเจน แต่เป็นไปได้ว่าคนที่อ่อนแอต่อความเครียด มีแนวโน้มมากขึ้นที่จะหันไปพึ่งบุหรี่ในทางกลับกัน การสูบบุหรี่อาจกระตุ้นให้เกิดความเครียดระยะยาว แม้บางคนรู้สึกว่าสูบบุหรี่แล้วสบายใจขึ้นชั่วคราวจากสถานการณ์บางอย่างก็ตาม

งานศึกษาของฮาเจ็คพบว่า เมื่อเริ่มต้นการศึกษา ผู้สูบบุหรี่ส่วนใหญ่คือ 85% จากทั้งหมด 469 คน เชื่อว่าการสูบบุหรี่ช่วยให้ตัวเองรับมือกับความเครียดได้ดีขึ้นในระดับหนึ่ง ครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้ถึงขั้นระบุว่าการสูบบุหรี่ช่วยได้มาก

แต่ผ่านไปหนึ่งปี กลุ่มตัวอย่างถูกสำรวจอีกครั้งและพบว่า 41% ไม่กลับไปสูบบุหรี่อีกโดยเฉลี่ยแล้วพบว่า คนที่เลิกบุหรี่สามารถลดระดับความเครียดได้ 20% ขณะที่คนที่กลับไปหามัจจุราชสีเทาแทบไม่พบว่าระดับความเครียดเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใดความสัมพันธ์ระหว่างการเลิกบุหรี่และระดับความเครียดที่ลดลง มีความชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อ

พิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อายุ และการศึกษาของผู้ป่วย ปริมาณการสูบบุหรี่ก่อนเลิก และระดับความเครียดเมื่อเริ่มต้นโครงการ

นักวิจัยกล่าวว่าการค้นพบนี้สนับสนุนความคิดที่ว่า การพึ่งพิงบุหรี่นั่นเองที่เป็นตัวการของความเครียดเรื้อรัง

"เมื่อคนที่ติดบุหรี่ไม่สามารถสูบบุหรี่ได้ และยิ่งเป็นแบบนั้นนานเท่าไหร่ คนคนนั้นยิ่งกระสับกระส่าย ทุรนทุรายและหงุดหงิดมากขึ้น

"บุหรี่ช่วยบรรเทาภาวะตึงเครียดนี้ และนี่อาจเป็นเหตุผลหลักที่สิงห์อมควันคิดว่าการสูบบุหรี่ช่วยขจัดปัดเป่าความเครียดได้"

ตัวอย่างเช่นคนที่สูบบุหรี่วันละ 20 มวน หมายความว่าต้องพบเจอความเครียด 20 ครั้งต่อวัน เมื่อปริมาณนิโคตินในร่างกายลดลง และเมื่อคนคนนั้นเลิกบุหรี่และผ่านพ้นช่วงถอนยามาได้ เขาจะมีความเครียดในแต่ละวันน้อยกว่า 20 ครั้ง

ฮาเจ็คทิ้งท้ายว่าการเลิกบุหรี่อาจเป็นผลดีไม่เพียงต่อสุขภาพทางกายเท่านั้น แต่ยังดีต่อภาวะจิตใจด้วย






ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

Bluetooth คืออะไร

Bluetooth คืออะไร
Bluetooth เป็นเทคโนโลยีไร้สายแบบระยะสั้น ( Short-Range ) คือมีกำลังส่งต่ำ มีระยะทำการระหว่างอุปกรณ์ที่รองรับ Bluetooth ด้วยกัน เพียง 10 เมตร ซึ่งจะใช้สำหรับต่อเข้าเป็นระบบเน็ตเวิร์คขนาดเล็กๆ ที่อุปกรณ์แต่ละตัวอยู่ไม่ห่างกันมาก ที่เรียกว่าเป็น Personal Area Network ( PAN ) โดย Bluetooth นี้จะทำงานที่คลื่นความถี่ 2.4 GHz ซึ่งเป็นความถี่ที่เรียกว่า แถบความถี่ ISM ( Industrial, Scientific and Medical ) โดยความถี่นี้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ทำให้สามารถพัฒนา และมีการใช้งานกันแพร่หลาย ผู้พัฒนา สามารถพัฒนาอุปกรณ์ให้ใช้ความถี่นี้ โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ และยังติดตั้งได้ อย่างไม่ยุ่งยากอีกด้วย Bluetooth ใช้เทคโนโลยีในการรับส่งสัญญาณที่เรียกว่า FHSS ( Frequency-Hopping Spread Spectrum ) ซึ่งจะทำการเปลี่ยนแปลงระดับของความถี่ในขณะที่กำลังส่งสัญญาณ ในอัตรา 1,600 ครั้ง ภายใน 1 วินาทีเท่านั้น ด้วยระดับความถี่ 79 ระดับ ที่แตกต่างกัน ระดับละ 1 MHz ดังนั้น คลื่นความถี่ที่ Bluetooth ใช้จึงอยู่ในช่วงตั้งแต่ 2.4 - 2.48 GHz และมีรูปแบบในการรับส่งข้อมูล 2 รูปแบบ คือ SCO ( Synchronous Connection Oriented ) ที่จะทำการสร้าง Ad Hoc Network ระหว่างอุปกรณ์ก่อน โดยที่อุปกรณ์ที่เป็นตัวหลัก จะควบคุมอุปกรณ์ที่เป็นตัวลูกได้มากที่สุดคราวละ 3 อุปกรณ์ และอีกแบบหนึ่งคือ ACL ( Asynchronous Connectionless ) ที่จำมีการรับส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์กัน ก็ต่อเมื่อมีการร้องขอจากทางตัวหลัก Bluetooth นี้ จะรองรับการรับส่งข้อมูลผ่านทางคลื่นวิทยุ โดยสามารถส่งได้ทั้งข้อมูลปกติ และข้อมูลเสียง ด้วยความเร็ว 1 Mbps ตามมาตรฐาน Bluetooth 1.x และในอนาคตอันใกล้ ก็จะขยับขยายไปเป็น Bluetooth 2.0 ซึ่งจะให้ความเร็วในการรับส่งที่เพิ่มขึ้นเป็น 10 Mbps และด้วยความที่ว่า เป็นเทคโนโลยีไร้สายแบบระยะสั้น ซึ่งใช้อุปกรณ์ภาครับ-ส่ง ( Chip transceiver ) ขนาดเล็ก และราคาไม่แพง ทำให้เหมาะกับการใช้งานกับโทรศัพท์มือถือ, เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งแบบพกพา ( Notebook ) และแบบตั้งโต๊ะ ( Desktop ) รวมถึง เครื่องคอมพิวเตอร์มือถือ ที่เรียกว่า PDA ( Personal Digital Assistants ) จำพวก Palm หรือ PocketPC อีกด้วย เทคโนโลยี Bluetooth นี้ เกิดจากความร่วมมือของกลุ่มบริษัทผู้นำด้านการสื่อสารโทรคมนาคม และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ซึ่งปัจจุบัน ก็มีผู้สนับสนุนหลัก 9 บริษัทด้วยกัน ประกอบไปด้วย 3Com, Agere, Ericsson, IBM, Intel, Microsoft, Motorola, Nokia และ Toshiba โดยในปี ค.ศ. 2001 ที่ผ่านมา ก็มีผู้เข้าร่วมพัฒนาทั้งจากบริษัททางด้าน Semiconductor, บริษัททางด้านโทรคมนาคม, อุปกรณ์ทางคอมพิวเตอร์ และอื่นๆ อีกไม่ต่ำกว่า 200 บริษัท ซึ่งก็มีอุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโลยีนี้เปิดตัวออกมาแล้ว ไม่ต่ำกว่า 2,000 รุ่น
เกร็ดความรู้ที่ 1 การปิดรหัสผ่านคุณสามารถระงับหน้าต่างถามรหัสผ่านได้ โดยการเปิด Password ใน Control panel และคลิ๊กบนปุ่ม Windows Password พิมพ์รหัสผ่านเก่าของคุณในพื้นที่ของรหัสผ่านเก่า แล้วกดแท็บเพื่อเลื่อนมาช่องรหัสผ่านใหม่แล้วยืนยันรหัสผ่านโดยไม่ต้องใส่ค่าใดๆ แล้วกด Enter 1 ครั้ง
เกร็ดความรู้ที่ 2 ยกเลิกโปรแกรมตอนบู๊ทเครื่องทำได้โดย คลิ๊กที่ Start => Run ใส่คำว่า msconfig ในช่อง Open แล้วกดปุ่ม Ok จากนั้นให้เลือกไปที่หน้า Startup แล้วทำการยกเลิกรายการโปรแกรมซึ่งคุณคิดว่าไม่จำเป็นต้อง รัน แล้วคลิ๊ก Ok จากนั้นให้ Reboot จะเห็นว่าเครื่องจะบู๊ทเร็วขึ้นครับ
เกร็ดความรู้ที่ 3 ตรวจสอบว่า Os ที่ใช้เป็นรุ่นไหนคลิ๊กขวาที่ ไอคอน My Computer เลือก Properties ที่แถบ General ตรงคำว่า System คุณจะพบหมายเลข บอกเวอร์ชั่นดังนี้4.00.950
คือวินโดวส์ 954.00.950A
คือวินโดวส์ 95 กับ Service Pack 14.00.950B
คือวินโดวส์ 95 SR2.0-2.14.00.950C
คือวินโดวส์ 95 SR2.54.10.1998
คือวินโดวส์ 984.90.3000
คือวินโดวส์ ME

อ้างอิงมาจาก http://www.school.net.th/library/create-web/10000/generality/10000-8504.html

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

รับรู้ได้ด้วยใจ



The best and most beautiful things in the world cannot be seen or even touched.

They must be felt with the heart ... “ สิ่งที่ดีและสวยงามที่สุดในโลก มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ แต่จะรู้สึกได้จากหัวใจ ...”


วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิทยาศาสตร์บนไม้กวาดของแฮร์รี่ พอตเตอร์ (Harry Potter)

วิทยาศาสตร์บนไม้กวาดของแฮร์รี่ พอตเตอร์ (Harry Potter)

แฮร์รี่ พอตเตอร์ขึ้นบินครั้งแรกด้วยไม้กวาดของโรงเรียนฮอกวอตส์ในวิชาฝึกบินของมาดามฮูช แต่ไม้กวาดด้ามแรก
ที่เป็นของเขาเอง คือ "นิมบัสสองพัน" ส่วนไม้กวาดด้ามที่ 2 ของเขา คือ "ไฟร์โบลต์" ซึ่งทำความเร็วได้สูงสุดถึง 240 ก.ม./ช.ม.
และสำหรับแฟนๆ ของแฮร์รี่ พอตเตอร์ คงไม่มีใครปฏิเสธว่าฉากควิดดิช เกมส์กีฬาของเหล่าพ่อมดแม่มดที่ใช้ไม้กวาดเป็นพาหนะนั้น เป็นฉากที่ตื่นตาตื่นใจไม่น้อย แล้วมันจะมีโอกาสเป็นความจริงได้บ้างหรือไม่? จากหลักการในหนังสือ
"วิทยาศาสตร์ในแฮร์รี่พอตเตอร์" (The Science of Harry Potter) ของ Roger Highfield อธิบาย ดังนี้
คนที่สามารถล่องลอยบนอากาศได้ ต้องขึ้นอยู่กับการเอาชนะแรงโน้มถ่วงด้วยการสร้างพลังแม่เหล็กที่สมบูรณ์
ดังที่ Andre Geim จากฮอลแลนด์ ได้ทดลองยกกบตัวเล็กให้ลอยกลางอากาศ ด้วยพลังแม่เหล็กจาก
การใช้รูปแบบของสภาวะแม่เหล็ก ที่เรียกว่า Diamagnetism (วัตถุที่เมื่อนำแม่เหล็กเข้าใกล้ จะเกิดแรงผลักอ่อนๆ
ออกนอกสนามแม่เหล็ก เมื่อนำแม่เหล็กออกไป คุณสมบัติแม่เหล็กนี้ก็หายไปด้วย) การยกกบให้ลอยขึ้นสูงสองเมตร
ในกระบอกทดลอง ต้องใช้สนามแม่เหล็กที่มีกำลังสูงกว่าสนามแม่เหล็กธรรมชาติของโลกถึง 1 แสนเท่า และสูงกว่าแม่เหล็ก
ติดตู้เย็นประมาณ 10 ถึง 100 เท่า แต่ปัญหาคือ ร่างกายมีคุณสมบัติทางแม่เหล็กไม่สม่ำเสมอทั่วร่างกาย เนื้อหลังกับกระดูก
จึงถูกดึงขึ้นและรั้งลงไปทั่วร่างกาย ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ ดังนั้น หากยังไม่มีทฤษฎีอื่นมารองรับ หรือวิทยาการที่ก้าวไกลมาก
ขึ้นอย่าเพิ่งทดลองบินด้วยทฤษฎีนี้จะดีกว่า


ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 13 ก.ค. 2552

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เวลาเราท้อ สิ้นหวัง จะทำยังไง?

ให้เราคิดซะว่า ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเท่ากับเรากลัวใจของเราเอง นี้คือเท่าที่ผมคิดได้คับ
พยายามหาแรงพลักดันให้กับตัวเอง อย่าคิดว่าตัวเองไม่ดี (เลิกโทษตัวเองซะ แต่ก็อย่าไปโทษคนอื่นน่ะครับ)
ในความคิดผม ผมคิดว่าคนเราต้องมีดีซิ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งละ ถ้าคุณคิดอยู่แค่เรามันอย่างโน้นเรามันอย่างนี้ ก็พอดีอะผมว่า คุณก็จะเป็นอย่างนั่น อย่างที่คุณคิด อดีตที่ผ่านมาอย่าไปยึดติดกะมันครับ มันผ่านไปแล้ว
ไม่ว่าจะรู้สึกว่าตัวเราเหนื่อยใจ หรือ ท้อแท้ใจแค่ไหน ให้เราสู้อ่ะ ถึงผลมันจะออกมายังไง ก็ดีกว่ามานั่งโทษตัวเอง เพราะว่าเราได้ทำเต็มที่แล้ว จะไม่ต้องรู้สึกว่าสิ้นหวัง ยังไงเราก็ต้องมีทางออกทีดีอยู่ ให้เราคิดให้ดี พยามคิดให้มาก ๆ ก่อนที่จะทำอะไรลงไป เพราะ เราอาจจะทำมันได้แค่ครั้งเดียวในชีวิต ก็อาจจะเป็นได้ แล้วมันก็จะเป็นอุทาหรณ์สอนกับตัวเราเองว่าจงก้าวต่อไป อนาคตยังอีกไกล มองไปข้างหน้าครับ ข้างหลังเอาไว้เตือนใจ
ตัวเองเพื่อให้ตัดสินใจแบบไม่ลังเลใจอีก ที่แน่ ๆ ครับ เพื่อนช่วยได้ครับเวลาไม่ไหวจริงๆ ช่วยได้มาก แต่ก็ยังไม่ทั้งหมดน่ะ แต่ถ้าต้องอยู่คนเดียวในเวลาแบบนี้ อย่าไปสิ้นหวังคิดสั้นจนฆ่าตัวตายน่ะ มันไม่คุ้มกันครับ เพราะเรื่องมันไม่ได้จบที่คุณคนเดียวน่ะอย่าลืม ไหนจะ พ่อ-แม่ และ คนอื่น ๆ ยังมีคนที่ยังเป็นห่วงคุณอยู่เสมอ ไม่ว่าเจอกับเรื่องอะไรก็แล้วแต่ จะเรื่องเล็ก ๆ หรือ ร้ายแรงสักแค่ไหน ให้เราจำไว้นะครับ ยังไงก็สงสาร
พ่อ-แม่น่ะครับ

ด้วยความปราถนาดีจาก TopHard

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

นำเทคโนโลยี ICT มาประยุกต์ใช้กับ E-learning










       E-Learning นับเป็นนวัตกรรมใหม่ทางการศึกษาที่มากับ ICT และ WWW. ใน Glossary ของ http://www.cybermediacreations.com/elearning/glossary.htm ได้ให้ความหมายของ E-learningไว้

       สรุปได้ว่าเป็นกระบวนการแลกเปลี่ยนข้อมูลและสร้างและแลกเปลี่ยนความรู้โดยผ่านช่องทางการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงต่างๆเช่น อินเตอร์เน็ต ระบบการจัดการความรู้ ในลักษณะที่ก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้ ได้ทุกที่ทุกเวลา
ในช่วงปี 2005 E-learning ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเพียงเครื่องมือเสริมในการจัดการเรียนการสอนเท่านั้น แต่กลุ่มบริษัท ICT ที่เป็นผู้ผลิตโปรแกรม E-Learning กลับมองว่าในอนาคต E-learning จะมาแทนที่เพราะสามารถสนองตอบต่อความต้องการของผู้เรียนที่จะเรียนรู้และค้นหาข้อความรู้ได้อย่างกว้างขวางจากการเรียนโดยใช้ฐานข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต และขณะเดียวกันรูปแบบการเรียนการสอนในชั้นเรียนแบบเดิมจะบรรลุเป้าหมายได้ก็ต้องอาศัยระบบการเรียนเป็น E-Learning อีกส่วนหนึ่งด้วย
พัฒนาการที่เกิดตามมาก็คือ เกิดการพัฒนา Software ต่างๆ ที่ช่วยให้ผลิต E-learning Progarm ได้รวดเร็ว และตรงความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด โดยผู้เชี่ยวชาญ ในงบประมาณที่น้อยที่สุด ตามมาตรฐานการสร้าง E-Learning ที่เรียกว่า SCROM (Sharable Content Object Reference Model หมายถึง มาตรฐานการเรียนรู้บนฐานของเทคโนโลยี) ของ ADL ( Advance Distributed Learning)
URL อ้างอิง
http://www.cybermediacreations.com/cbt/overview.htm

จุดประสงค์ของการพัฒนา SCROM ก็เพื่อ
1. ให้เกิดการนำกลับมาใช้ใหม่ได้ทั้งผู้สร้าง E-Learning และผู้เรียนสามารถเลือก นำเนื้อหาหรือสิ่งที่น่าสนใจใน E-Course ต่าง ๆ มารวมเป็น Course ใหม่ได้
2. จัด E- Learning Program ต่าง ๆ ให้เป็นหมวดหมู่ตามเนื้อหาและง่ายต่อการค้นหา
3. เพื่อให้ Course ต่าง ๆสามารถใช้ได้ในการเรียนที่ต่างระบบกัน
4. เนื้อหาสาระของ Course ต่าง ๆยังคงอยู่แม้ว่าเทคโนโลยีที่ใช้จะเปลี่ยนไป
URL อ้างอิง
http://www.cybermediacreations.com/cbt/scrom.htm

      ส่วน Rapid E-Learning ซึ่งมีความหมายกว้าง คือ การสร้าง E-Learning Program ที่ใช้เวลาน้อยที่สุดและเร็วที่สุด เพราะธรรมดาแล้วการว่าจ้างบริษัทเหล่านี้ สร้าง E-learning แบบธรรมดา จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 10,000$-50,000$ ต่อ E-learning 1 ชั่วโมง สำหรับโปรแกรมที่ใช้ได้แก่ Macromedia Breeze, Articulate, Lersus, SNAP! Studio, Content Point, Webex, and mindflash
http://www.learningcircuits.org/2005/jan2005/archibald.htm
สิ่งที่น่าสนใจตรงนี้ก็คือหากเราสามารถเลือก E- Course ที่ดีแล้วมาจัดเรียงเนื้อหาให้สอดคล้องกับ เค้าโครงของบทเรียนที่เราเตรียมไว้นอกจากจะประหยัด แล้วยังมีสื่อการเรียนที่มีคุณภาพดีได้โดยไม่เปลืองเวลา เช่น E-Course online ของ BBC BBC English for Business online Free Course

สิ่งที่ตามมาจากการใช้ E-Learning
มุมมองเกี่ยวกับตัวผู้สอนที่เปลี่ยนไป
1. ผู้สอนต้องเปิดใจรับนวัตกรรม E-Learning เปลี่ยนทัศนคติต่อ Technology โดยทั่วไปผู้สอนมักจะกลัวการเปลี่ยนแปลง Technology ที่เปลี่ยนไว และต้องก้าวให้ทัน Technology จนเกิดโรคกลัวเทคโนโลยีที่เรียกว่า Technophobia
2. ต้องปรับตัวใหม่ให้เป็นทั้ง Learner Instructor และ Designer
URL อ้างอิง
http://www.learningcircuits.org/2000/mar2000/mar2000_elearn.html
3. ใช้ Blend Approach ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างรูปแบบการสอนทั้ง 3 อย่างเข้าด้วยกันแต่มีบทบาทต่างไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้ออกแบบไว้ เช่น
3.1. F2F ( Face to Face - ILT Intructor Led Training) เป็นช่องทางที่ผู้สอนจะช่วยกวดขันหรืออธิบายถึง concept ในการทำงานหรือตกลงกติการ่วมกัน
3.2. Synchronous learning มีปฏิสัมพันธ์ระว่างผู้สอนและผู้เรียน ในเวลาที่กำหนดไว้ตรงกัน ผ่านช่องทางต่าง เช่น audio- or video conferencing, Internet telephony, หรือ two-way live broadcasts
3.3. Asynchronous learning ผู้เรียนสามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา และมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนหรือผู้สอนได้โดยผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น Internet or CD-ROM, Q&A mentoring, online discussion groups, and email. เพื่อให้เกิดการปรึกษาหารือให้ลักษณะงานกลุ่ม เช่น การเรียนในรายวิชา 162661 ที่เรียนอยู่นี้ หรือในการออกแบบ หรือเกิดหลักสูตรแบบใหม่ๆ เช่น Chula Online
ผู้สอนสามารถออกแบบสื่อที่ใช้การเรียนการสอนก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและจุดประสงค์ของการเรียนว่าจะต้องการให้ผู้เรียนเกิดทักษะด้านใด ในปัจจุบัน Blend Approach มุ่งให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะพื้นฐานที่เป็น High Technology มากขึ้นเช่น Web-based tutorial, e-books
URL อ้างอิง
http://www.learningcircuits.org/glossary.htm
http://www.learningcircuits.org/2002/may2002/elearn.html

รูปแบบการศึกษาที่เปลี่ยนไปเมื่อนำ E-Learning เข้ามาใช้
Distance learning (DL)
หลายคนมอง DL เหมือนกับการสอนห้องเรียนคือสอน แบบ F2F แต่ต่างตรงที่เทคโนโลยี แต่ความจริงแล้วไม่ใช้ DLนั้น ต้องมีสื่อที่หลากหลาย มีวิธีการนำเสนอเนื้อหา มีการออกแบบรายวิชา มีวิธีการประเมินผลผู้เรียน และมีสิ่งที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
URL อ้างอิง
http://www.learningcircuits.org/2000/jul2000/jul2000_elearn.html

Web-based training
Web-based training เป็นการออกแบบการเรียนรู้โดยใช้ฐานข้อมูลจาก website เป็นหลัก ลักษณะการโดยรวมจะเหมือนกับ DL แต่เราเพิ่มช่องทางการสื่อสารให้ผู้เรียนโดยการ web เป็นหลัก เช่น เราเพิ่ม Link ต่างๆ ที่น่าสนใจสำหรับผู้เรียนได้ค้นคว้าเพิ่มเติม เปิดช่องทางให้นักศึกษาได้ ปรึกษาหารือเนื้องานได้อย่างอิสระ ทั้งสื่อสารกับผู้สอน สื่อสารกับกลุ่มเพื่อนที่สนใจในเรื่องเดียวเกิดเป็น สังคมการเรียนรู้ ( Learning Community) น่าสนใจตรงที่เกิดเครือข่ายการเรียนรู้ที่อาจจะแตกออกไปจากบทเรียนตามความสนใจของแต่ละคน
URL อ้างอิง
http://www.learningcircuits.org/2001/jul2001/elearn.html

Distributed learning
Distributed learning ไม่ได้มาแทน DL แต่เป็นรูปแบบการเรียนการสอนในแนวคิดที่ว่าด้วยการ “ส่งแหล่งข้อมูล” โดยที่ผู้สอน ผู้เรียนและเนื้อหาหรือสื่อการเรียนการสอนอยู่ต่างที่กัน ไม่ได้รวมไว้ด้วยกัน และการเรียนการสอนสามารถเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้แม้จะต่างเวลา และสถานที่ เป็นการรวมเอาการเรียนการสอนทุกรูปแบบไว้ด้วยกันเพื่อให้เกิดบริบทของห้องเรียนเสมือนได้ทุกที่ทุกเวลาอย่างสมบูรณ์แบบ (Maureen Bowman California State University)
URL อ้างอิง
http://techcollab.csumb.edu/techsheet2.1/distributed.html


มุมมองเกี่ยวกับตัวผู้เรียนเปลี่ยนไป
        ผู้เรียนได้เรียนรู้ว่าเขาสามารถเรียนรู้ และก้าวทันโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้ด้วยตัวเอง
(Learner-Centered World) โดยที่ผู้สอนก็ต้องปรับมุมมองที่มีต่อตัวผู้เรียนและตนเองโดยสร้างบริบทให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านสื่อต่าง ๆ เป็นขั้นๆไป ในแบบที่เขาพอใจเหมาะกับตัวเขา เป้าหมายเพื่อให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาคุณภาพในกระบวนการเรียนรู้ของตนได้อย่างต่อเนื่อง บรรลุวัตถุประสงค์การเรียน สนุกกับการทำแบบฝึกหัด และรู้จะนำความรู้ไปประยุกต์ใช้อย่างไร รู้ที่ถามคำถามและหาคำตอบ เข้าใจและรู้วิธีการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ได้เรียนรู้ผ่านกลุ่ม และรู้ที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้สอน
URL อ้างอิง
http://www.learningcircuits.org/2000/jun2000/jun2000_elearn.htm


     ในส่วนของการมาใช้ประโยชน์ทางด้านการศึกษา หรือการเรียนการสอนนั้นในบางรายวิชา
เช่นวิชาทางประวัติศาสตร์นั้น มีครูผู้สอนในรายวิชานี้จำนวนมากมายที่คิดว่าไม่สามารถนำเอาเครื่องมือด้านคอมพิวเตอร์ หรือเทคโนโลยีทาง ICT เข้ามาใช้ได้เลย เพราะว่ารายวิชาดังกล่าวเนื้อหาวิชาจะว่าด้วยเรื่องของศาสตร์การค้นหาความจริง และยังคิดว่าเป็นการยากมาก ๆ ในการพยายามนำสิ่งทั้งสองอย่างมาอยู่ด้วยกัน แต่แท้ที่จริงแล้วมีช่องทางที่จะนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ อาทิเช่น บางทีอาจใช้ในเรื่องของการประมวลผลระยะเวลาในการเกิด หรือการตาย หรือการจบสิ้น เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ นั้น ๆ หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นจนจบได้เป็นอย่างดี
URL อ้างอิง
http://www.solfease.com/timeline.htm


     และในเรื่องของการเรียนการสอนนั้นการนำโปรแกรมคอมพิวเตอร์เข้าไปใช้งานก็จะมีส่วนช่วยให้การเรียนการสอนเกิดความน่าสนใจเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น วิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งได้กล่าวว่าเป็นวิชาที่ยากในการนำมาอยู่ด้วยกัน โดยจะยกตัวอย่างในบทเรียนที่เกี่ยวกับสงคราม หรือความขัดแย้ง เพราะถ้าให้ผู้เรียนได้ซาบซึ้ง หรือเข้าถึงเหตุการณ์แล้วจะรับทราบต้นเหตุ และของการเกิดเพื่อจะได้หาทางหลีกเลี่ยงในการปัจจุบัน ถ้าใช้สื่อการสอนในลักษณะเดิม ๆ ก็คือสื่อแบบรูปภาพ หรือตัวหนังสือที่ไม่มีการเคลื่อนไหว ความน่าสนใจในวิชาดังกล่าวก็จะเป็นแบบเดิม ๆ คือไม่มีการพัฒนาทำให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย ไม่ความเข้าใจหรือซาบซึ้งเท่าที่ควร ดังนั้นในการนำโปรแกรมไมโครซอร์ฟเพาเวอร์พอยร์เข้ามาจัดทำเป็นสื่อที่มีความเคลื่อนไหว และมีเสียงให้เกิดความเร้าใจ ซึ่งในเว็บได้นำเสนอตัวอย่างและทำให้การเรียนการสอนน่าสนใจยิ่งขึ้น

URL อ้างอิง
http://www.teachnet-uk.org.uk/2005%20Projects/P_History-Henry%20VIII/Henry%20viii/project-resources.htm
http://www.microsoft.com/Education/PPTTutorial.mspx

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553



ทีมชาติอาร์เจนติน่า : ฟุตบอลโลก 2010
ถึงจะเลือดตาแทบกระเด็นกว่าจะผ่านรอบคัดเลือกมาได้ “ฟ้าขาว” อาร์เจนติน่า ยังคงวาดหวังสวยหรูว่าจะคว้าแชมป์โลกสมัยแรกในรอบ 24 ปีมาครอง
เพื่อไปให้ถึงฝั่งฝัน แชมป์โลกสองสมัย (1978 และ 1986) มอบศรัทธาให้ดีเอโก้ อาร์มันโด้ มาราโดน่า นักเตะฟ้าประทาน และแข้งที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอาร์เจนติน่า ผู้อยู่เบื้องหลังการคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 ของทีมด้วย
ภารกิจใหญ่ของ “เสือเตี้ย” ดูจะง่ายขึ้น เมื่อมองว่าทีมฟ้าขาวมีแข้งระดับเทพให้เลือกใช้มากมาย และหลายคนคือผู้เล่นตัวเก๋าจากชุดฟุตบอลโลก 2006 ที่เข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ นอกจากนั้นยังมีลิโอเนล เมสซี่ และแข้งดาวรุ่งพุ่งแรงอีกเป็นกระบุง มีแชมป์ระดับเยาวชนมากมายหลายรายการเป็นเครื่องการันตี
แต่ถึงจะมีนักเตะชั้นนำของโลกมากมาย อาร์เจนติน่ากลับไม่ประสบความสำเร็จในระดับอินเตอร์ระยะหลัง ครั้งสุดท้ายที่ได้แชมป์ก็คือโคปา อเมริกา 1993
เส้นทางสู่แอฟริกาใต้ ทีมชาติอาร์เจนติน่า : ฟุตบอลโลก 2010ขุนพลอาร์เจนติเนี่ยน ลำบากสุดๆ ในรอบคัดเลือกรอบสุดท้าย เหมือนที่เป็นในปี 1985 ก่อนจะเดินหน้าคว้าแชมป์โลกมาครองได้ในปี 1986 ที่เม็กซิโก เป็นเจ้าภาพ แชมป์โลก 2 สมัย เริ่มต้นรอบคัดเลือก 2010 ภายใต้การนำของโค้ชอัลฟิโอ บาซิเล่ ที่ต้องเปิดทางให้มาราโดน่า หลังจากพ่ายชิลี ในเกมนัดที่ 10 ส่งผลให้ทีมหล่นมาอยู่ที่ 3 แม้จะฟอร์มหนืดต่อเนื่อง แต่ชัยชนะแบบหืดจับ 2 นัดสุดท้ายของการเล่นรอบคัดเลือก เหนือเปรู และอุรุกวัย ก็ทำให้อาร์เจนติน่าเข้ารอบสุดท้ายสำเร็จ
ทีมอัลบิเซเลสเต้ ได้ไปทั้งหมด 28 แต้ม นับว่าเป็นคะแนนต่ำสุดของทีมที่ได้ผ่านเข้ารอบ ตั้งแต่มีการปรับมาเล่นในระบบกลุ่มเดียว 10 ทีม สถิติของอาร์เจนติน่าอยู่ที่ ชนะ 8 เสมอ 4 และแพ้ 6 ในจำนวนนี้ 3 นัดเป็นการแพ้ที่เจ็บปวดสุดๆ หลังจากที่แพ้ชิลี และเป็นการแพ้นัดแรกของการเล่นรอบคัดเลือก อาร์เจนติน่า โดนโบลิเวียถล่ม 6-1 ก่อนจะมาพ่ายบราซิลคาบ้าน
โชคดีที่อาร์เจนติน่า หาทางกลับได้ทันช่วงท้ายของการเล่นรอบคัดเลือก และเป็นมาร์ติน ปาแลร์โม่ ที่ยิงประตูช่วงทดเวลาบาดเจ็บให้ทีมชนะเปรู ก่อนที่ทีมจะบุกไปชนะอุรุกวัยที่มอนเตวิเดโอ 1-0 ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายได้สำเร็จ
ดาวเด่น ทีมชาติอาร์เจนติน่า : ฟุตบอลโลก 2010ความหวังแทบทั้งหมดของอาร์เจนติน่าอยู่ที่ ลิโอเนล เมสซี่ นักเตะที่ได้รับการยกย่องว่าเก่งที่สุดในโลกตอนนี้ คำชมดังกล่าวนี้เป็นผลมาจากฟอร์มสุดอลังการในชุดบาร์เซโลน่า แต่กับชุดฟ้าขาวของอาร์เจนติน่า ยังไม่เปรี้ยงปร้าง และ “เจ้าหมัดหนู” หวังว่าจะโชว์ฟอร์มไถ่โทษให้ตัวเองได้ในแอฟริกาใต้
นักเตะที่จะทำหน้าที่ปกป้องประตู ยามเมสซี่ตลุยไปข้างหน้าก็คือ ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ กัปตันทีม และ ฮวน เวรอน กองกลางตัวเก๋า ที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง หลังจากที่โดนวิจารณ์หนักตอนอาร์เจนติน่าร่วงตกรอบแรกฟุตบอลโลก 2002
โค้ช ทีมชาติอาร์เจนติน่า : ฟุตบอลโลก 2010ดีเอโก้ มาราโดน่า ที่หลายคนยกให้เป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในโลก มีโอกาสคว้าแชมป์โลกอีกครั้งในฐานะโค้ช หลังทำสำเร็จมาแล้วตอนเป็นผู้เล่น ด้วยเหตุที่ได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษของประเทศ มาราโดน่าจึงมีบารมี และเป็นที่นับถือของลูกทีม
ก่อนจะคุมทีมชาติ มาราโดน่า เคยเป็นโค้ชช่วงสั้นๆ ที่มานดิยู ปี 1994 และราซิ่ง คลับ ปีต่อมา จากนั้นกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้งให้โบคา จูเนียร์ส หลังหันหลังให้ฟุตบอล 9 ปี มาราโดน่ากลับมาคุมทีมชาติอาร์เจนติน่า ทำหน้าที่แทนบาซิเล่ ช่วยให้ทีมผ่านเข้ารอบสุดท้าย
ฟุตบอลโลกที่ผ่านมา ทีมชาติอาร์เจนติน่า : ฟุตบอลโลก 2010อาร์เจนติน่า เข้าชิงฟุตบอลโลก 4 ครั้ง ชนะเนเธอร์แลนด์ปี 1978 ชนะเยอรมันปี 1986 แพ้อุรุกวัยปี 1930 และแพ้เยอรมันปี 1990
ผ่านเข้ารอบสุดท้ายได้เป็นสมัยที่ 20 และฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้เป็นการเล่นฟุตบอลโลกครั้งที่ 10 ติดต่อกัน
วาทะเด็ด ทีมชาติอาร์เจนติน่า : ฟุตบอลโลก 2010“ผมจะบอกนักเตะว่า 30 วันของการเสียสละเพื่อโอกาสคว้าแชมป์โลก ไม่ได้มีกันทุกคน ความสำเร็จระดับนี้เหมือนได้สัมผัสแผ่นฟ้า ผมเคยเล่นฟุตบอลโลกมาหลายครั้ง เข้าชิง 2 หน รู้ดีว่าทีมต้องการอะไร จะนำทีมไปทางไหน จะดูแลนักเตะอย่างไร” โค้ชดีเอโก้ มาราโดน่ากล่าว