วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ความต่างของเทคโนโลยีกับนวัตกรรม


ได้ฟังบรรยายในหัวข้อการวิจัยในชั้นเรียน โดย รศ.สมพงษ์ บุญเลิศ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ท่านใช้เทคโนโลยีประกอบการบรรยาย ถ้าเป็นเทคโนโลยีเมื่อ 20 ปีก่อนหน้านี้ก็คงต้องใช้แผ่นใส คอยพลิกไปพลิกมาเพื่อใช้สื่อสารระหว่างผู้ฟังและผู้บรรยาย แต่วิทยากรส่วนใหญ่ในปัจจุบันใช้ Microsoft PowerPoint เป็นเครื่องมือในการนำเสนอหัวข้อประกอบการบรรยายแล้ว ปัจจุบันครูอาจารย์ในสถานศึกษาทุกระดับตื่นตัวกับการใช้เครื่องมือที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI = Computer Assisted Instruction) เพื่อใช้เสริมการเรียนการสอนในชั้นเรียนให้มีประสิทธิผล ถ้าใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอนเมื่อ 20 ปีก่อน เราก็จะเรียกสิ่งนั้นว่านวัตกรรม แต่ปัจจุบันเรียกว่าเทคโนโลยี แล้ววิทยากรก็ปรารภว่าสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง อายุมากขึ้นมองอะไรก็ไม่เหมือนสมัยเป็นหนุ่ม ถ้าผู้ที่ยังเป็นหนุ่มก็ควรรีบใช้สังขารให้เต็มที่ เพราะถ้าปล่อยให้เนิ่นนานไปสังขารอาจไม่รองรับกับสิ่งที่ต้องการทำและยังไม่ได้ทำอีกมากมาย

ความแตกต่างของเทคโนโลยีกับนวัตกรรมมีอยู่ 2 ประเด็นสำคัญ คือ เวลา และสถานที่ หากสิ่งใดที่ถูกใช้ในสถานที่หนึ่งเป็นเวลานานและเกิดการยอมรับอย่างแพร่หลาย มักเรียกสิ่งนั้นว่าเทคโนโลยี เพราะใช้ประโยชน์ในที่นั้นเป็นระยะเวลาหนึ่งจนทุกคนในกลุ่มรู้สึกคุ้นเคย แต่ถ้านำสิ่งนั้นไปใช้ในพื้นที่ใหม่เป็นครั้งแรกเกิดการเรียนรู้ใหม่ มีการตื่นตัวภายในกลุ่ม และเริ่มยอมรับเพิ่มขึ้นเป็นลำดับก็จะเรียกสิ่งเหล่านั้นว่านวัตกรรม

วิทยากรได้ยกตัวอย่างเรื่องการใช้แฮ้วซึ่งเป็นเครื่องทุ่นแรงสำหรับตักน้ำขึ้นจากบ่อน้ำในภาคเหนือว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีใช้มานาน แต่เมื่อนำไปใช้ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือครั้งแรกก็จะเรียกว่านวัตกรรม จนมีการยอมรับและแพร่หลายเป็นระยะเวลาหนึ่งก็จะเรียกว่าเทคโนโลยี หากจะเรียกการใช้ Microsoft PowerPoint เป็นนวัตกรรมในยุคแรกที่เครื่องคอมพิวเตอร์ได้รับความนิยมก็ย่อมได้ เพราะอาจารย์ในอดีตที่ใช้แผ่นใสเป็นเทคโนโลยีประกอบการสอน เมื่อมีการเปลี่ยนเครื่องมือสำหรับช่วยสื่อสารในชั้นเรียนก็จะเรียกว่ามีนวัตกรรมใหม่ โปรแกรมในชุดของ Microsoft Office มีกำเนิดตั้งแต่ปีพ.ศ.2532 ถูกใช้มาแล้วกว่า 20 ปี โปรแกรมนี้แพร่หลายไปทุกระดับ และทุกสายงาน จึงสมควรเรียกว่าเทคโนโลยี แต่ถ้าครูอาจารย์ใช้ e-Learning หรือ CAI ในวันนี้ก็จะเรียกว่านวัตกรรม เพราะเป็นเรื่องใหม่ อยู่ระหว่างพัฒนา และยังมีการถกเถียงถึงผลข้างเคียงของการใช้สื่อเหล่านี้ในหลายเวที


เครดิตข้อมุล : http://www.thaiall.com/itinlife/

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ระบบปฏิบัติการวินโดว์เจ็ด



เครื่องคอมพิวเตอร์คือการรวมกันของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานสอดรับกันเป็นระบบ ประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญ คือส่วนนำข้อมูลเข้า ส่วนประมวลผล และส่วนแสดงผล ทั้งหมดถูกเรียกว่าฮาร์ดแวร์ (Hardware) ทำงานด้วยพลังงานไฟฟ้า อุปกรณ์ทั้งหมดถูกควบคุมด้วยซอฟท์แวร์ (Software) เพื่อสั่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แต่ละส่วนให้ทำงานร่วม ซอฟท์แวร์ที่สำคัญคือระบบปฏิบัติการหรือโอเอส (OS = Operating System) ในอดีตค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จ่ายให้กับค่าซื้อฮาร์ดแวร์ แต่ปัจจุบันค่าใช้จ่ายด้านซอฟท์แวร์สูงกว่าฮาร์ดแวร์ บางองค์กรซื้อฮาร์ดแวร์มาครั้งเดียวแต่ต้องจ่ายค่าเปลี่ยนซอฟท์แวร์หลายครั้ง และต้องจ้างพีเพิลแวร์ที่มีประสบการณ์มาดูแลซอฟท์แวร์

ระบบปฏิบัติการเป็นซอฟท์แวร์พื้นฐานของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากร ควบคุมอุปกรณ์ อำนวยความสะดวกแก่ผู้พัฒนาโปรแกรม และการติดต่อกับผู้ใช้ สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือพีซี (PC = Personal Computer) ที่เราใช้ทุกวันนี้เริ่มเป็นที่นิยมเมื่อบริษัทไอบีเอ็มพัฒนาฮาร์ดแวร์แล้วมอบงานพัฒนาโอเอสให้บริษัทไมโครซอฟท์ และเป็นการเริ่มต้นของการพัฒนาระบบซอฟท์แวร์อย่างที่เห็นในทุกวันนี้ ระบบปฏิบัติการวินโดว์เคยครองส่วนแบ่งตลาดผู้ใช้พีซีมากถึง 96% ทิ้งคู่แข่งอย่างลีนุกซ์และแอปเปิ้ลไกลมาก ตำนานของวินโดว์เริ่มต้นในพ.ศ.2526 มีการออกผลิตภัณฑ์มาอย่างต่อเนื่อง และไม่มีแนวโน้มที่จะหยุดพัฒนา

ตำนานของวินโดว์วิสต้าเปิดตัวพ.ศ.2548 แต่ออกมาได้ไม่นานก็มีเสียงวิพากษ์ว่าผู้ใช้ส่วนหนึ่งไม่ประทับใจประสิทธิภาพในการจัดการฮาร์ดแวร์ ต่อมาไมโครซอฟท์ได้ประกาศการพัฒนาวินโดว์เจ็ดในพ.ศ.2550 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอายุของวินโดว์วิสต้าไม่ยาวนัก ถ้ามองในมุมของการพัฒนาก็จะเป็นโอกาสของชาวลำปางที่จะได้ใช้ระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม แต่ในมุมของผู้ใช้ก็อาจเป็นภัยคุกคามที่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อซอฟท์แวร์อีกแล้ว แต่ความจำเป็นต้องซื้อรุ่นใหม่ก็ขึ้นกับวิจารณญาณของแต่ละบุคคล เพราะผู้เขียนเชื่อว่าถ้าใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อพิมพ์งานเอกสารหรือรายงานการประชุมจะใช้เพียงวินโดว์ 98 ก็ยังใช้งานได้ดีอยู่ แต่ถ้าจะใช้พัฒนาระบบงานด้วยวิชวลเบสิกดอทเน็ตหรือมีข้อมูลมหาศาลต้องถูกประมวลผลแต่ละวันก็เข้าใจว่าต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีให้ทันเพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร



เครดิตข้อมูล : http://gotoknow.org/thaiall

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การเลือก Netbook หรือ Notebook



พบการโฆษณาสินค้าหรือบริการที่มอบรางวัลที่ 1 เป็น netbook ผู้เขียนจึงเข้าไปสืบค้นข้อมูลจนพบว่า netbook คือเครื่องคอมพิวเตอร์แบบใหม่ที่พัฒนาด้วยการลดระดับจาก notebook ในเรื่องของน้ำหนักที่เบากว่า ขนาดเล็กและบาง ความเร็วต่ำกว่า จำนวนปุ่มบนแป้นพิมพ์น้อยกว่า ประสิทธิภาพต่ำกว่า จอภาพแสดงผลเล็กกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์เหมาะกับการพกพาได้ง่าย กลุ่มลูกค้ามักเป็นเด็กนักเรียนที่ต้องการนำไปใช้ประกอบการเรียนการสอนในห้องเรียน จุดเด่นคือมีราคาและน้ำหนักต่ำกว่า notebook เกือบครึ่งหนึ่ง รุ่นของหน่วยประมวลผลที่นำไปใช้กับ netbook มักมีคำว่า Atom หรือ Conesus

รูปร่างหน้าตาของ netbook คล้าย notebook ถ้าผู้ซื้อไม่สอบถามในรายละเอียดก็จะไม่เข้าใจถึงข้อจำกัด เนื่องจาก netbook ยังเป็นสินค้าที่ใหม่ในตลาด ดังนั้นอุปกรณ์ต่อพ่วงและซอฟท์แวร์ยังมีสนับสนุนไม่ดีนัก ถ้านำไปใช้งานตามปกติด้วยซอฟท์แวร์ที่มีมากับตัวเครื่องก็สามารถใช้งานได้ระดับหนึ่ง เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เปิดอินเทอร์เน็ต แต่ถ้าคิดจะดูภาพยนตร์ความละเอียดสูง หรือใช้งานซอฟท์แวร์มัลติมีเดียที่ซับซ้อนก็อาจรองรับได้ไม่ดีนัก

การซื้อสินค้าราคากว่าหนึ่งหมื่นบาทก็ต้องใช้วิจารณญาณและหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่ตั้งอยู่บนความพอเพียง เช่น คุณแม่จะซื้อคอมพิวเตอร์ไว้สอนภาษาอังกฤษลูกก็อาจซื้อ netbook ได้ หรือพนักงานขายจะใช้นำเสนอข้อมูลสินค้าต่อลูกค้าก็มีความเหมาะสม แต่ถ้านักศึกษามหาวิทยาลัยต้องการนำไปพัฒนาระบบฐานข้อมูลบนเครือข่าย สร้างภาพยนต์แอนิเมชัน ทดสอบโปรแกรมประมวลผลที่ซับซ้อน เปิดโปรแกรมพร้อมกันหลายโปรแกรมแบบมัลติทาสกิ้ง และใช้อุปกรณ์ต่อพ่วงอยู่เสมอก็คงต้องหาซื้อ notebook การซื้อสินค้าที่ได้มาตรฐานในรุ่นมาตรฐานน่าจะดีกว่าการซื้อสินค้ากลุ่มลดขนาด หรือกลุ่มตกรุ่น หรือกลุ่มออกใหม่ล่าสุด แต่ทุกคนย่อมมีเหตุผล เพราะปัจจัยเรื่องน้ำหนักและราคาอาจอยู่เหนือปัจจัยอื่นในการเลือกซื้อสินค้า

เครดิตข้อมูล : www.thaiall.com/itinlife/

วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

บทความสอนใจ สิ่งเดียวที่สำเร็จคือความล้มเหลว


1.ไม่รู้จักตนเอง

O เพราะไม่รักตัวเอง จึงไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง
O เพราะไม่รู้ศักยภาพของตัวเอง จึงไม่มีจุดยืนของตัวเอง

2.ไม่เข้าใจคนอื่น

O เพราะ ไม่เปิดใจ จึงไม่เข้าใจความแตกต่าง
O เพราะไม่เอาใจเขามาใส่ใจเรา จึงไม่ได้เอาคนอื่นมาเป็นคติสอนใจ

3.ไม่มีเป้าหมาย

O เพราะขาดความเชื่อศรัทธา จึงขาดแรงผลักดัน
O เพราะไม่มีแรงบันดาลใจ จึงขาดแรงจูงใจ
O เพราะยังไม่เจอปัญหา จึงขาดไฟ
O เพราะยังไม่มีModel จึงขาดVistion
O เพราะไม่มีจินตนาการ จึงขาดความรู้
O เพราะไม่มีสติ จึงขาดปัญญา

4.ยังไม่ได้ลงมือทำ

O เพราะเพิกเฉย จึงพลัดวันประกันพรุ่ง
O เพราะกลัว จึงไม่กล้าตัดสินใจ
O เพราะรอ จึงยังไม่พร้อม
O เพราะขี้เกียจ จึงงานเยอะ
O เพราะยังไม่อยากทำ จึงไม่บริหารเวลา
O เพราะไม่ยอมเปลี่ยน จึงไม่ลงมือทำ

5.ยังไม่ได้ประเมินผล

O เพราะยังไม่ได้ใส่ใจ เลยไม่รู้ปัญหา
O เพราะยังไม่ได้ทบทวน เลยไม่ได้ใคร่ครวญให้ดี
O เพราะมัวแต่เพ่งโทษตนเอง เลยยึดติด
O เพราะไม่มีทางออก ก็เลยต้องออกนอกเส้นทางบ่อยๆ
O เพราะไม่ได้แก้ไข จึงไม่ได้ปรับปรับปรุง
O เพราะสักแต่ว่าทำ เลยไม่ทำให้ดีกว่าเดิม
O เพราะเผลอ จึงประมาท

6.ยังไม่มีคนคอยชี้ทาง

O ไม่มีครู ไม่มีเพื่อนร่วมทาง ไม่มีคนเกื้อหนุน ไม่มีคนช่วยเหลือ

7.คุณรู้แก่ใจ….(ปลายทาง)

…. อย่าลืมนะคับ ไม่มีใครที่ประสบความสำเร็จ ที่มัวแต่นั่งคิด โดยไม่ลงมือทำ ^-^


เครดิตข้อมูล : http://sakid.com/2010/09/24/26105/

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

เครือข่ายสังคมกับการใช้ในทางธุรกิจ



เครือข่ายสังคม (Social Network) คือ บริการของเว็บไซต์ที่เปิดพื้นที่ให้ผู้คนได้เข้าไปพบปะ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น แบ่งปันประสบการณ์ เกิดการสื่อสารในเรื่องราวที่สนใจร่วมกัน ซึ่งเว็บบล็อก (Weblog หรือ Blog) เป็นเครื่องมือหนึ่งที่สนับสนุนให้เขียนบันทึกเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ของตนได้ง่าย ปัจจุบันเว็บบล็อกเป็นเครื่องมือหลักของเครือข่ายสังคมจนทำให้เกิดการสื่อสารและแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม แต่ละคนสามารถเข้าเป็นสมาชิกได้หลายกลุ่ม สร้างกลุ่มของตนเองได้ เกิดกลุ่มเล็กบ้างใหญ่บ้าง เปิดรับเฉพาะสมาชิก หรือเปิดให้เข้าได้ทุกคน เช่น กลุ่มของชุมชนบ้านไหล่หิน กลุ่มโรงเรียนบุญวาทย์ กลุ่มนักศึกษาโยนก กลุ่มบริษัทลิสซิ่ง กลุ่มศิษย์เก่าอัสสัมชัญลำปาง หรือกลุ่มธรรมะชนะกิเลส เป็นต้น

ประโยชน์สำหรับกลุ่มคนที่สมาชิกส่วนใหญ่มีเมตตากรุณาเป็นที่ตั้ง มองเห็นผลประโยชน์ร่วมกัน ย่อมส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทำให้ใช้ประโยชน์จากการจัดการความรู้บนฐานความเชื่อที่ว่าทุกคนมีจิตใจที่ดีงามพร้อมจะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ที่ฝังลึกในตนเอง (Tacit Knowledge) ให้ผู้อื่นได้นำไปใช้ประโยชน์ อาทิ การรวมกลุ่มของร้านบริการอินเทอร์เน็ตก็จะแลกเปลี่ยนเรื่องข้อมูลซอฟท์แวร์ ราคาซอฟท์แวร์ การคุกคามของมิจฉาชีพ หรือการรับมือกับลูกค้าไม่พึงประสงค์ นำไปสู่การป้องปรามปัญหาที่อาจเกิดขึ้น การรวมกลุ่มของโรงแรมก็เพื่อประโยชน์ในการผ่องถ่ายลูกค้า แก้ปัญหาโรงแรมเต็มเมื่อมีอบรมสัมมนาขนาดใหญ่ แลกเปลี่ยนทรัพยากร การรวมกลุ่มของแหล่งท่องเที่ยวทำให้มีการสร้างเส้นทางท่องเที่ยวรองรับ และให้ข้อมูลนักท่องเที่ยวตลอดเส้นทางแต่ละเส้น เกิดการจัดการทรัพยากร และข้อมูลร่วมกัน

ประโยชน์ที่ได้จากเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีมากมาย เช่น กลุ่มทำงานที่บ้าน (Work at home) ใช้เว็บบอร์ดนำเสนอสินค้าและโอกาส ทุกคนจึงมีโอกาสทำงานอิสระเป็นอาชีพเสริมอยู่ที่บ้าน หรือสมัครเป็นสมาชิกเพื่อซื้อสินค้าราคาต่ำกว่าราคาขาย การเขียนสิ่งที่รู้จากประสบการณ์ การเพิ่มบันทึกหรือเนื้อหาเข้าไปในอินเทอร์เน็ต ทำให้สมาชิกหรือเยาวชนสืบค้นข้อมูล เพื่อนำไปประยุกต์และแก้ปัญหาของตนได้ง่าย โบราณว่าการให้ความรู้เป็นทานเป็นกุศลที่แรงมาก ซึ่งการทำบุญด้วยการให้ความรู้ง่ายกว่าการไปทำบุญที่วัด ถ้าทำบุญด้วยจตุปัจจัยเป็นทานเพื่อทำนุบำรุงศาสนาแล้ว การทำบุญด้วยการให้ความรู้ก็เป็นการเพิ่มกุศลที่สามารถทำได้นอกวัด เพราะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ชาวพุทธส่วนใหญ่ถูกอบรมสั่งสอนให้เป็นคนดีมีน้ำใจมาแต่เล็กแต่น้อย นี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่คนไทยนิยมใช้งาน hi5.com อยู่ในอันดับต้นของโลกก็เป็นได้


เครดิตข้อมูล : http://www.thaiall.com/itinlife/

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

ระวังจุลินทรีย์เชื้อก่อโรคในแหนม


"แหนม" เป็นอาหารพื้นเมืองที่เกิดขึ้นจากภูมิปัญญาชาวบ้านโดยแท้ ต้นกำเนิดของแหนมเกิดจากการดัดแปลงเนื้อหมู ที่เป็นวัตถุดิบที่เหลือจากการบริโภค แล้วนำมาผสมนั่นนิดนี่หน่อย จนกลายมาเป็นแหนมที่ทุกคนรู้จักและชอบรับประทาน

และจากภูมิปัญญาของชาวบ้าน ปัจจุบันได้ถูกดัดแปลงให้เข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบ มีกรรมวิธีการผลิตที่มีคุณภาพ เริ่มจากการคัดเลือกเนื้อหมูสด ที่ผ่านการตรวจสอบตั้งแต่โรงฆ่าสัตว์ไม่มีโรค

จากนั้นเข้าสู่กระบวนการลอกเนื้อเยื่อและเอา ไขมันที่ไม่ต้องการออก แล้วนำมาบดผสมกับส่วนประกอบต่างๆ เช่น เกลือ ดินประสิว ข้าวเจ้าสุก และเครื่องเทศ

หลังจากผสมแล้วจึงนำมาบรรจุลงในภาชนะบรรจุที่มีอยู่หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นถุงพลาสติกรูปทรงกระบอก ถุงพลาสติกลักษณะเป็นตุ้ม หรือบรรจุในพลาสติกธรรมดาแล้วหุ้มด้วยใบตอง ทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องปกติเพื่อให้เกิดการหมัก ประมาณ 3-5 วัน ก็นำมารับประทานได้



อย่างไรก็ตาม คงต้องระวัง! ในเรื่องของจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคที่อาจปนเปื้อนเข้ามาในแหนมได้

จุลินทรีย์ชนิดที่พบมาก เห็นจะเป็นเชื้ออี.โคไล มักปนเปื้อนจากการประกอบอาหารด้วยการใช้มือสัมผัส ถ้าคนปรุงและคลุกเคล้าส่วนผสมของแหนม มีสุขลักษณะที่ไม่ดีเพียงพอ ไม่ล้างมือก่อนทำ และภาชนะที่ใช้สัมผัสแหนมระหว่างการผลิตไม่สะอาดพอ อาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอาการท้องเสียได้...



นอกจากนี้ยังมีเชื้อซาลโมเนลลาอีกชนิด ที่อาจปนเปื้อนมาอันตรายของเชื้อชนิดนี้คือเมื่อผู้บริโภครับเชื้อเข้าไปแล้วจะทำให้เกิด อาหารเป็นพิษ หลังจากร่างกายได้รับเชื้อนี้เข้าไปเป็นเวลาประมาณ 6-24 ชั่วโมง

คอลัมน์ "มันมากับอาหาร" จึงได้ทำการวิเคราะห์เชื้อก่อโรคทั้ง 2 ชนิด ในแหนม 5 ยี่ห้อ ผลวิเคราะห์แสดงดังตารางข้างล่าง

ใครที่ชอบทานแหนมต้องเลือกดูสินค้าด้วย เช่น ห่อบรรจุมีรอยฉีกขาดไม่ควรซื้อ หรือถ้าอยากทานจริงๆ ก็เอามา ผ่านความร้อนในระดับจุดเดือดก่อน เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

ญี่ปุ่นพัฒนาหุ่นยนต์ "ตั๊กแตน" ยักษ์!!!



Air Hopper เป็นหุ่นยนต์เลียนแบบการเคลื่อนที่ของตั๊กแตน แม้หน้าตาของมันจะดูไม่เหมือนสักเท่าไรก็ตาม Air Hopper จะมีสี่ขาที่แข็งแรงมาก สามารถดีดตัวเองให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า หรือกระโดดสูงในแนวดิ่งได้ เท้าทั้งสี่ของมันยังติดล้ออีกด้วย นั่นหมายความว่า เวลาที่มันกระโดดไปข้างหน้า เมื่อลงถึงพื้นแรงเฉื่อยที่อยู่ในตัวจะพาให้มันเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยล้อได้อีก (กรณีพื้นเรียบ) คุณสมบัติของหุ่นยนต์ตั๊กแตนก็คือ มันสามารถกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง (เพื่อสอดแนม หรือช่วยเหลือคนที่อยู่ด้านหลังกำแพงกั้นในสงคราม หรือกรณีเกิดภัยพิบัติต่างๆ ก็ได้) แทนการปีนไต่ ความลับของกลไกการทำงานก็คือ ท่อลมแรงดันสูงสีน้ำเงินที่จะดันขาสีดำให้กดพิื้น เพื่อดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในการทดลองการทำงานของหุ่นยนต์พบว่า Air Hopper สามารถกระโดดไปข้างหน้าได้ไกล 70 ซม. ที่ระดับความสูงจากพื้น 40 ซม. ตัวหุ่นยนต์ทำจากพลาสติก โดยลำตัวมีความยาว 1.29 เมตร สูง 52.2 ซม. และหนัก 32.4 กก. โห...หนักขนาดนี้ กำลังขาของหุ่นยนต์ต้องดีมากๆ ทีเดียวนะเนี่ย.


เครดิตข้อมูล : http://www.sudipan.net/phpBB2/viewtopic.php?t=24763&sid=37f7f8e70c9310bd76c67ce0c34fd7c9